ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน

จริงๆแล้วคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความมั่นใจสูง รู้จักรสชาติของมันดีครับ ที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้นั้นก็คือเขารู้จักที่จะปฎิเสธมัน ไม่กลัวมันอีกต่อไป พวกเขารู้ว่าถ้ายอมให้ความกลัวเข้ามาคืบหนึ่งมันจะเอาศอกเอาวา แล้วในที่สุดชีวิตจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความกลัวครับ
1ยอห์นบทที่4ข้อที่18ได้บอกว่าในความรักนั้นไม่มีความกลัวเพราะ
ความรักที่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์นั้น ได้ไล่ความกลัวออกไปหมดแล้ว ความกลัวนั้นเกี่ยวกับการถูกลงโทษ และคนที่ยังกลัวการถูกลงโทษก็เพราะความรักนั้นยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในคนๆนั้น
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้พบว่าคนป่วยโรคประสาทที่โดนไฟฟ้าช็อทนั้นมีระดับความกลัวเท่ากับความวิตกกังวลของคนที่ทั่วไป อธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความวิตกกังวลของเรานั้นจริงๆมันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่มันมีผลเท่ากับคนโรคจิตถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าช็อทเลย ปกติคนที่เป็นโรคจิตโรคประสาทไม่รู้ดีรู้สึกร้าย ไม่รู้สึกกลัวอะไร ต้องใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้เกิดความกลัว จึงจะเชื่อฟังหรือยอมเชื่อฟัง
เช่นเดียวกันกับคนปกติธรรมดา ทุกครั้งที่เราเกิดความวิตกความกลัว ทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นเพียงเรากลัวไปเอง ผลร้ายของมันก็ได้เกิดขึ้นร้ายแรงรุ่นแรงเสมือนมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว
งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งได้บอกว่า ความวิตกกังวลและความกลัวของคนเราเกิดขึ้นได้โดยผ่านการเรียนรู้การสื่อสาร ตอนที่ลูกๆของเรายังเล็กๆอยู่มีนักศึกษาถามลูกๆว่ากลัวผีตาโบ๋ไหม ลูกๆก็ถามว่าอะไรเหรอพี่ผีตาโบ๋ ลูกๆไม่เคยรับการสื่อสารในบ้านเราให้กลัวผีตาโบ๋ จนกว่าที่ใครมาสอนเขาให้กลัวความกลัวก็จะเกิดขึ้น หมายความว่าสมองของเราจะไม่รู้ไม่ทราบความแตกต่างระหว่างความกลัวจริงหรือไม่จริงหรือจินตนาการ จนกว่าจะมีการเรียนรู้ถ่ายทอดสอนให้รู้จักเสียก่อนจึงจะเกิดขึ้น
สถาบันสุขภาพจิตมีการรายงานของผู้ป่วยโรคจิตที่มาจากความวิตกกังวลสูงมากแต่ละปี ไม่เลือกหน้าว่าจะเป็น คนมั่งมีศรีสุข หรือยากจนข่นแค้นต่างก็มีผลได้เช่นเดียวกัน คนปกติกลัวการถูกปล้นได้เช่นเดียวกัน เท่ากับคนที่ถูกปล้นเพราะพลังสมองของคนเรามีศักยภาพเช่นเดียวกัน สมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างถูกปล้นหรือกลัวถูกปล้นแต่มีอำนาจในการทำลายเท่ากัน จึงไม่แปลกใจที่คนดีๆแต่สุขภาพจิตแย่
ก็เพราะเหตุนี้แหละ นักจิตวิทยาจึงสรุปว่าความกลัวส่วนใหญ่เป็นเพียงเสมือนภาพลวงตา ที่จะรอดูว่าเราสนองตอบอย่างไร ถ้าเราเอาไปบอกไปเล่าให้ใครฟังภาพลวงตานั้นจะเลือนหายไปหรือถ้าเราเก็บเอาไว้มันก็จะเสมือนเป็นจริงทำลายในชีวิตของเราลงไปทุกๆวัน ดังนั้นในข้อพระคัมภีร์นี้ เราจึงต้องบอกความที่เรากลัวอะไรต่างๆนานาให้กับพระผู้เป็นเจ้าที่รักของเรานี้ทุกเรื่องที่ทำให้เรากลัว แล้วความกลัวเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปในที่สุด
พระคัมภีร์ อิสยาห์บทที่ 26 ข้อที่3-4ใจแน่ว‍แน่นั้นพระ‍องค์ทรง‍รักษาไว้ในศานติ‍ภาพอันสม‌บูรณ์เพราะเขาวาง‍ใจในพระ‍องค์
ขอพระเจ้าเสริมกำลังทุกๆท่านนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น