ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

ใครเป็นทุกข์มากกว่ากัน ระหว่างคนที่เกลียดเขา กับ คนที่ถูกเขาเกลียด

ความรักไม่มีเหตุผล  แต่ความเกลียดย่อมมีเหตุผลเสมอ

ถามตัวเองก่อนซิว่า ทำไมถึงเกลียด

1. อิจฉาริษยาหรือหมั่นไส้เขา ที่เขามีอะไรดีๆกว่า เช่น หน้าตาดีมีเสน่ห์กว่า มีฐานะการเงินดีกว่า มีความรู้ความสามารถมากกว่า  มีโชคดีมีความสุขมากกว่า  มีชื่อเสียงดีกว่า ก็อาจเป็นสาเหตุให้ไม่ชอบขี้หน้าเขาได้

2. เขาทำให้ต้องสูญเสียผลประโยชน์อะไรบางอย่าง  เช่น ทำให้ต้องสูญเสียคนรักไป ทำให้ต้องสูญเสียเงิน สูญเสียงานไป ก็อาจเป็นสาเหตุให้ไม่ชอบเขาได้

3. เขาทำอะไรที่ไม่ดี ไม่น่ารัก ขี้โม้โอ้อวด  นินทาว่าร้าย พูดจาเย้ยหยันเสียดสี หรือกลั่นแกล้ง ทรยศหักหลัง ก็อาจเป็นสาเหตุให้ไม่ชอบเขาได้อีกเหมือนกัน

4. แม้แต่คนที่เคยรักกัน เคยหลงใหลอย่างมากมาย  พอเขาหมดรัก หรือทิ้งไปมีคนรักใหม่  ก็อาจเป็นสาเหตุให้โกรธเกลียดเคียดแค้นชิงชังเขาได้อีกเหมือนกัน

5. แม้แต่คนที่เคยรัก  แต่เพราะเขาไม่เป็นได้ดังใจ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง  ก็อาจเป็นสาเหตุให้เรารู้สึกโกรธหรือเกลียดขึ้นมาได้ด้วย

6. ความคิดเห็นไม่ตรงกัน   ความคิดเห็นแตกต่างกัน  คนใจแคบ  ใจไม่เปิดกว้าง ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ไม่เคารพความคิดเห็น  หรือความเป็นส่วนตัวของคนอื่น  ก็อาจเป็นสาเหตุให้จงเกลียดจงชังอีกฝ่ายหนึ่งได้


แต่......  ไม่ว่าความรู้สึกโกรธ  เกลียด นั้นจะมีสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม   คิดดูให้ดีสิว่า...คนที่เกลียดเขา  กับ  คนที่ถูกเขาเกลียดนั้น   ใครเป็นทุกข์มากกว่ากัน


พฤติกรรมที่กระทำต่อคนที่ตัวเองเกลียด:

1.  คิดแช่งชักหักกระดูก   อยากเห็นความพินาศวิบัติของเขา   เช่น อยากเห็นเขาตกต่ำ   เจ็บป่วย  มีอุบัติเหตุ  มีความทุกข์  ผิดหวัง  เสียใจ  เสียเงินเสียทอง  เสียชื่อเสียง   เสียเพื่อน   ได้รับความอับอาย   เสียหน้า  ฯลฯ

2. พูดหรือเขียนถ้อยคำต่อว่าต่อขานเขา   ด่าว่าเขา   นินทาเขา   ประจานเขา   สาบแช่งเขา   พูดหรือเขียนถ้อยคำส่อเสียด เหยียดหยามเขา   ดูถูก ดูหมิ่น ดูแคลนเขา   พูดหรือเขียนถ้อยคำใส่ร้ายป้ายสีเขา  ยุแหย่ให้เขาถูกมองในแง่ร้าย   หรือ หาพวกมาร่วมเกลียดชังเขาด้วย ฯลฯ

3. บางคนอาจลงมือกระทำการตบตี  ใช้กำลังประทุษร้ายร่างกาย   หรือแม้แต่จะฆ่าให้ตายคามือ   หรือ  จ้างวานฆ่า   ด้วยความจงเกลียดจงชัง และผูกพยาบาทปองร้าย   หรืออาจโทรศัพท์ไปก่อกวน   สร้างความไม่สงบต่างๆ ฯลฯ


คนที่ถูกเขาเกลียด   อาจรู้ตัว   หรือ อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่ามีคนเกลียดและปองร้ายอยู่   ถ้าผู้ที่ถูกเกลียด  ไม่ได้เกลียดตอบ   คือ  ไม่ได้เป็นผู้ที่เกลียดเขาไปด้วย   จะมีพฤติกรรมดังนี้:


พฤติกรรมโต้ตอบกับคนที่เกลียดเรา:

1. หลีกเลี่ยงการพบปะพูดคุย   หลีกเลี่ยงการพูดถึงเขา   "จงอย่าเสียเวลาแม้แต่เล็กน้อย นึกถึงคนที่เขาไม่ชอบเรา"  เอาจิตใจและความคิดของเราไปนึกถึงคนที่เขารักเขาชอบเราดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะเลย  ถ้าเผลอไปนึกถึงคนที่เขาไม่ชอบเราเมื่อไร  ก็ให้เบนความสนใจไปเรื่องอื่นทันที  ฝึกทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็จะเคยชินไปเอง   จำไว้ว่า  เวลาของชีวิตไม่ได้มีเหลือเฟือ   เอาเวลาไปใช้กับเรื่องที่คุ้มค่ากว่าการไปนึกถึงคนที่เขาไม่ชอบเราดีกว่านะ

2.  ถ้าเรายังมีความจำเป็นต้องติดต่อประสานงาน  หรือยังต้องอยู่ในสังคมเดียวกันกับคนที่เขาไม่ชอบอยู่  เราต้องมีวิธีทำใจ:

เปลี่ยนวิธีการคิดและวิธีการมองของเราเสียใหม่  ด้วยการใช้เหตุผลนำหน้าอารมณ์  ถามตัวเองว่า ทำไมเขาไม่ชอบเขา  เพราะอะไร     ถ้าเพียงเพราะเขาอิจฉาหรือหมั่นไส้เรา  เราก็ควรสงสารและเมตตาเขา ที่เรามีอะไรดีๆกว่าเขา   สอนใจตัวเองอย่างนี้บ่อยๆ  อีกหน่อยเราจะเป็นคนที่มีเมตตาเสมอ   ไม่สะทกสะท้านกับความรู้สึกเกลียดชังของคนอื่น  แต่กลับสงสารและเห็นใจ

ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรา  ชอบนินทาว่าร้ายเรา ชอบหาเรื่องกลั่นแกล้งเรา ทำให้เราสูญเสียผลประโยชน์  แทนที่เราจะไปโกรธไปแค้นเขา  เราก็ควรทำใจว่า  สิ่งที่เขาทำนั้น  เราคงไม่ต้องไปสะทกสะท้านอะไร  เพราะ  "บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น"  คนดี ย่อมทำแต่สิ่งดีๆ  คนที่ทำไม่ดีกับเรา  เพราะเขาเป็นคนไม่ดี   ถ้าเราไปโต้ตอบด้วยการทำไม่ดี เราเองต่างหากที่จะกลายเป็นคนไม่ดีซะเองด้วย

ถ้าหากเราต้องรับเคราะห์กรรมจากการกระทำกลั่นแกล้งของคนอื่น   นั่นเป็นเพราะเราอาจได้เคยกระทำไม่ดีต่อใครบางคนมาก่อน  แล้วสิ่งที่เราเคยทำไว้นั้น  ก็ย้อนกลับมาหาเรา   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา   เราสมควรได้รับเสมอ   หากจะมีสิ่งใดไม่ดีเกิดขึ้นแก่ชีวิต   อย่าโทษใคร  เพื่อที่เราจะไม่ต้องรู้สึกโกรธหรือเกลียดใครตอบ    จงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และหาหนทางแก้ไข ด้วยสติปัญญา  ไม่ใช้อารมณ์โกรธเกลียดในการแก้ปัญหา

จงมองคนที่ทำไม่ดีกับเรา มองด้วยเหตุผลว่า  เพราะเขาเป็นคนไม่ดี  เขาจึงทำไม่ดี   แต่เราไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์โกรธเกลียด    เขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งของเรา   เพียงแต่เราต้องรู้เท่าทันคน  ไม่ตกเป็นเหยื่อเขา และ ไม่ตกเป็นเหยื่ออารมณ์โกรธเกลียดของเราเอง    คนไหนไม่ดี  ถ้ายังต้องอยู่ในสังคมเดียวกัน  เราก็คบหาแบบผิวเผิน   ไม่ต้องให้ความสนิทสนมมากนัก  แต่ไม่จำเป็นต้องโกรธเกลียดเขาเลย    ควบคุมอารมณ์และจิตใจตัวเองได้  เราจะควบคุมชะตากรรมของเราได้เสมอ  เพราะการควบคุมอารมณ์และจิตใจตัวเอง   คือการคิดอย่างมีสติมีปัญญานั่นเอง


ฉะนั้น   ไม่มีเหตุผลใดๆเลย  ที่จะทำให้เราต้องโกรธ  ต้องเกลียดใคร    เพราะ  การโกรธเกลียด  ทำให้ใจเราไม่มีความสุข และ ไม่มีความสงบ   ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร  เขาย่อมต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเอง  สิ่งที่เขากระทำต่อคนอื่น  ย่อมย้อนกลับมาสู่ตัวเขาเสมอ  เหมือนบูมเมอแรง



วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

รักกันหน่อยนะครับ


คนจะรักกันได้ยาวนาน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะประคับประคองความรัก มีกฏหลากหลายหากทำได้ รับรองรักของคุณจะหวานชื่นและยาวนาน

กฎทองข้อที่ 1 เราจะไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน อย่างที่คนโบราณเค้าว่า ถ้า..เขาร้อนเป็นไฟคุณก็ต้องเย็นให้ได้ดั่งน้ำ (น้ำเปล่านะ ไม่ใช่น้ำมัน)

กฎทองข้อที่ 2 เราจะไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด (ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน)

กฎทองข้อที่ 3 จำไว้ว่าไม่มีใครชอบคำติ หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำ อย่าลืมพูดให้หวานๆ เข้าไว้ (ไม่ใช่พูดว่าน้ำตาลๆๆๆนะ)

กฎทองข้อที่ 4 เราจะไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า (หวานอีกแล้วน้ำตาลยิ่งหาซื้อยากด้วย)

กฎทองข้อที่ 5 ทำให้เขารู้สึกว่า เขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ (บ่อยๆก็ไม่ดีนะ เดี๋ยวจะได้ใจ ให้เขาคิดว่าเราก็สำคัญสำหรับเขาบ้างสิ)

กฎทองข้อที่ 6 สัญญากันนะว่าเราจะไม่โกรธกันข้ามคืน เพราะคุณนั่นแหล่ะจะนอนไม่หลับ คุยกันให้เข้าใจกันก่อนดีกว่าหันหลังให้กัน (ก็โทร.ไปหวังคุยแล้วแต่ไม่ยอมรับสาย แบบนี้มันน่าโกรธไหมล่ะ)

กฎทองข้อที่ 7 คุยกันให้มากหน่อย จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หนังสือที่คุณเพิ่งอ่านจบ ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเราผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม (โหย...ไอ้ตอนรักกันน่ะไม่ต้องสอนเลย คุยกันได้ทุกเรื่องแหละ ไม่เห็นจะช่วยให้เข้าใจอะไรกันมากขึ้นเลย)

กฎทองข้อที่ 8 ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็ขอโทษซะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอก(ขอโทษน่ะทำได้ แต่ให้อภัยน่ะทำได้ด้วยหรือเปล่า)

กฎทองข้อที่ 9 อย่าเข้าใจผิดว่าการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เพราะการใส่ใจ คือการให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูดแต่ดูทีวีไปด้วย (ช่วยไม่ได้ อยากมาพูดตอนละครฮิตหรือบอลนัดบิ๊กแมทฃ์กำลังออกอากาศอยู่)

กฎทองข้อที่ 10 อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า เรายังรักกันเสมอ …

อย่าให้เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาทีตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ที่มีมา เพียงคำว่าอภัยและปรับตัวเข้าหากันใหม่ สิ่งดีๆ อาจมีขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณเลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เค้าทำ แล้วรักษาสิ่งดีๆ ต่อไป หรือเลือกที่จะทำลายเมื่อคุณไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการ

ข้อคิดก่อนเลิกงานวันนี้

1. เมื่อวานไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ จึงมีวันพรุ่งนี้ให้เราได้ทำสิ่งดีๆต่อไป 
2. คนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณผ่านทุกปัญหาได้ คือ "ตัวคุณ" 
3. เรื่องวุ่นวายบนโลกมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้นคือ "ไปหลงรัก" และ "ไปหลงเกลียด" 
4. ความสบายใจไม่ได้เกิดจากทำทุกสิ่งให้ได้ดังใจ แต่เกิดจากใจที่ยอมรับว่า ไม่มีอะไรที่จะได้ดังใจเราไปทั้งหมด 
5. ต่างคนต่างความคิดต่างจิตต่างใจ อย่าดูถูกความคิดใครถ้าความคิดต่าง
6. อ่านหนังสือออก สำคัญ อ่านเหตุการณ์ออก สำคัญกว่า อ่านคนอื่นออก สำคัญยิ่ง อ่านตนเองออก สำคัญที่สุด
7. ถ้าคิดได้ ให้ช่วยคิด ถ้าคิดไม่ได้ ให้ช่วยทำ ถ้าทำไม่ได้ ให้ความร่วมมือ ถ้าร่วมมือไม่ได้ ให้กำลังใจ แม้ให้กำลังใจไม่ได้ ให้สงบนิ่ง
8. ละได้ ใจก็สะอาด วางได้ ใจก็โล่ง ปลงได้ ใจก็เย็น อภัยได้ ใจก็สงบ
9. เงาจันทร์ เกิดจากความนิ่งของน้ำ ฉันใด ปัญญา เกิดจากความนิ่งของใจ ฉันนั้น
10. ไม่ใช่ความทุกข์ที่ทำให้เราคิดมาก แต่เป็นเพราะเราคิดมากทำให้เกิดความทุกข์
11. รู้จักให้ รู้จักรับ รู้จักปรับ รู้จักให้อภัย รู้จักแบ่ง รู้จักได้ รู้จักแข็ง รู้จักคลาย ชีวิตจะเบาสบาย และมีความสุข
12. หาที่สงบร้อยที่ ยังไม่ดีเท่าสงบที่ใจตน รู้จักคนร้อยคน ไม่ดีเท่ารู้จักตน เพียงคนเดียว
13. เมื่อมี จงรู้จักให้ เมื่อได้ จงรู้จักพอ เมื่อขอ จงรู้คุณค่า คนเราเกิดมา ถึงเวลา.........ก็ ต้องจากไป
14. สิ่งที่ย้อนไม่ได้ คือเวลา สิ่งที่หนีไม่ได้ คือความตาย สิ่งที่ชื้อไม่ได้ คือ สุขภาพ&ชีวิต สิ่งที่มองไม่เห็น คือใจคน สิ่งที่ต้องอดทน คือใจตัวเอง
15.ไฟไม่ได้ร้อน ถ้าเราไม่เอาตัวเข้าไปใกล้ ทุกข์ใดๆก็ไม่ทำให้เราหนัก ถ้าเราไม่เอาใจเข้าไปแบก
16. กำลังใจอาจหาได้จากคนรอบข้าง แต่ความเข้มแข็งเราต้องสร้างมันขึ้นเอง
17. บางครั้งกำลังใจนอกจากจะมีไว้ให้ใครๆ ก็ต้องเก็บไว้ให้ตัวเองด้วย
18. เมื่อตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้า ก็อย่าหวั่นไหวกับปัญหาที่จะต้องพบเจอ
19. คนมีปัญญามักมองเห็นโอกาสในทุกๆปัญหา คนขาดปัญญามักมองเห็นปัญหาในทุกๆโอกาส
20. ทุกครั้งที่เรา ไม่เข้าใจกัน ไม่ผิดที่จะโกรธ แต่ผิดที่เราไม่ขอโทษกัน

21. จงเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข แค่นี้ก็เป็นคนโดยสมบูรณ์แล้ว

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

เดินอวยพรพี่น้องหมู่บ้านหนองบัว ท่าสองยาง แม่สอดตาก


เช้านี้ตื่นขึ้นมาที่หมู่บ้านหนองบัว บ้านอุสุ แม่สอด ตาก ได้กลิ่นแปลกๆที่คุ้นๆจมูกแต่นึกไม่ออกว่ามันเป็นกลิ่นอะไร รู้แต่ว่าเคยได้กลิ่นนี้นานมากแล้วนึกยังไงก็นึกไม่ออก เอ…..ทำไมเราแก่ลงมากหรือยังไงที่นึกไม่ออก 

เมื่อวานนี้ออกจากปากช่องเที่ยงครึ่งเกือบบ่ายโมง ต้องรีบเข้ากรุงเทพฯเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมืองให้ทันก่อนบ่ายสี่โมงเย็น คุณคำนึงซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เพื่อจะไปร่วมพิธีเทศกาลวันอิสเตอร์กับพี่น้องปอกอหยอห์ที่บ้านหนองบัว อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก 

ต้องนั่งรถตู้จากปากช่องไปกรุงเทพฯ พอดีเป็นวันที่ 17 เมย.ก็ยังมีคนเดินทางกลับไปกรุงเทพฯเยอะพอสมควร บอกคนขับว่าจะต้องไปขึ้นเครื่องก่อนสี่โมงจะทันไหม คนขับรถก็บอกว่า "ทัน ป๋าสบายใจได้.."เพื่อนๆของเขายิ้มหัวเราะกันใหญ่ เราก็รู้สึกว่ามันชักจะแปลกๆยังไงชอบกล พ่อเจ้าประคุณท่านคนขับก็ขับได้รวดเร็วทันใจ ตลอดเส้นทางพี่ท่านแซงซ้ายแซงขวา ปาดหน้าปาดหลัง ต้องปวดขาคอยเหยียบเบรคของเราและอธิษฐานในพระวิญญาณไปตลอดทางแต่ก็เชื่อว่ายังไม่ใช่เวลาจะไปอยู่กับพระเจ้าในสภาพเช่นนี้ 

เราว่าเราขับเร็วแล้วแต่วันนี้ยกให้พี่ท่านเลยครับ แกคุยไปได้ตลอดทาง..เออก็ดีกว่าหลับใน ฟังแกคุยเพลินเผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้มาตื่นเอาตอนแกแวะจอดเติมแก๊ส ไล่ให้พวกเราคนโดยสารไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำปัสสะวะทานข้าวกันสัก 10 นาที ผู้โดยสารก็ไม่รีรอละครับ ลงรถได้ก็ตัวใครตัวมันตัวเผือกละครับ รีบไปเข้าห้องน้ำกันก่อนไม่ใช่ไปดื่มน้ำปัสะสวะนะครับ ขออภัยเขียนติดกันไปหน่อย ก็ลงไปหาอะไรทานสักหน่อยเพราะตอนออกจากปากช่องก็ไม่ได้ทานอะไร เห็นคนขับมานาข้าวด้วยก็เลยซื้อโอเลี้ยงให้แกแก้วหนึ่ง จากนั้นเมื่อเสร็จกันเรียบร้อยแล้วจากนั้นพี่ท่านก็ตะเบงเครื่องห้อเข้ากทม.ถึงดอนเมืองบ่ายสามโมงเลยไปนิดๆ แล้วยังมีหันหน้าทะเล้นมาถามเราอีกว่า"ป๋าว่าไง รวดเร็วทันใจไหมป๋า" เราก็นึกในใจว่าจะขอบใจมันหรือจะด่ามันดี อย่างน้อยมันก็ทำเวลาให้เราได้พอดี เราก็ได้แต่พยักหน้ากึกๆแล้วยิ้มให้มัน เอาไว้ให้มันไปแปลเอาเองว่าเราขอบใจหรือว่าชาตินี้ที่รักเราคงพบกันไม่ได้

บ่ายสามโมงครึ่งเมื่อเราเอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง จากนั้นก็เดินไปขึ้นเครื่อง บรรยากาศเก่าๆของสนามบินดอนเมืองก็ยังพอเหลือเค้าให้เราเห็นความสัมพันธ์ของเรากับดอนเมืองในอดีต พอที่จะชื่นใจผลุดรอดขึ้นมาในใจได้อยู่บ้าง แล้วก็แอบดีใจที่ดอนเมืองกลับมาใช้อีก อยากจะเห็นสถานที่เก่าๆเช่นนี้รื้อฟื้นกลับมาใช้ใหม่ เพราะถ้าเรามีความรู้สึกเช่นนี้ แน่นอนเลยล่ะ คงจะมีผู้โดยสารนับจำนวนไม่หวาดไม่ไหวที่เคยผ่านสนามบินดอนเมืองและยังจำสิ่งที่ดีๆอย่างเรานี่อีกเยอะแน่ๆ คงจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาที่ดอนเมืองอีกเป็นแน่

ระหว่างเดินไปประตูที่จะขึ้นเครื่องบินก็เห็นร้านรวงปลอดภาษีหรือเปล่าก็ไมรู้เพราะไม่ได้เข้าไปดูได้แต่มองผ่านๆ มีร้านอาหารประเภทฟาดแหลกอยู่หลายร้าน พอดีเราจัดการที่ปั๊มแก๊สมาเรียบร้อยแล้วเห็นราคาแต่ละอย่างก็รู้ว่าเขารวมค่าเช่าสถานที่สนามบินเข้าไปด้วยแน่ๆก็เลยอดได้เงินจากเรา

ประตูที่ 72 ที่จะมีรถบัสเล็กเอาพวกเราไปขึ้นเครื่องบินอยู่สุดอาคารเลยทีเดียว ถ้าเป็นคนแก่คนเฒ่าต้องอาศัยรถบริการในตัวอาคารไปส่ง พอดีเรายังไม่แก่พอเลยหมดสิทธิ์ใช้บริการ

เราต้องเดินลงบันใดเลื่อนลงไปชั้นใต้ดินอีกทีก็จะถึงห้องพักรอที่ๆเราจะขึ้นรถไปขึ้นเครื่อง พอถึงเวลาตรงเป๊ะพวกเราก็พากันขึ้นรถเมล์เล็กไปขึ้นเครื่องบินที่จอดไม่ไกลจากตัวอาคาร มองเห็นสายการบินนกแอร์ลำที่..........จอดคอยท่ารอเราอยู่แล้ว มีผู้โดยสารที่ไปด้วยกัน 40-50 คนเห็นจะได้
หลังจากหาที่นั่งเรียบร้อยพอดีที่ของเราว่างก็เลยนั่งไปคนเดียวเบาะสองตัวสบายๆ สักครู่ก็เหมือนขึ้นเครื่องบินทั่วไปที่กัปตันจะบอกว่า ตอนนี้เราบินสูงเท่านั้นเท่านี้จะมีพนักงานมาจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มีอาหารและน้ำดิ่มแจกฟรีด้วยและมีที่ขายด้วย บริการประทับใจครับ

นั่งพอจะเคลิ้มๆกัปตันก็แจ้งให้เราว่าจะลดระดับบินเพื่อลงจอดสนามบินแม่สอดแล้ว รวดเร็วทันใจมาก พอลงจากเครื่องไปตัวอาคารก็ไม่ไกลนักเห็นสุพรรณ คำนึง อ.เชิดศักดิ์ น้องมิ้นลูกสาวคำนึงและอ.แรนดี้ มารอรับที่สนามบินแล้ว จริงๆแล้วคำนึงออกเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานก่อนนั้นแล้วแล้วก็มาคอยที่แม่สอด คุณก้องกับคุณแม่และอ.ก็มารับด้วย คุณก้องก็พาไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารสุดยอดของแม่สอด เพราะร้านนี้มีชื่อเสียงดังของที่นี่ ปรากฏว่าขายดีจนเมนูที่เราสั่งหมดไปเสียส่วนมาก อะไรก็หมดๆ ก็เลยสั่งว่าเอาเท่าที่คุณมีก็แล้วกันก็เลยได้ทานกันอิ่มหนำสำราญใจขอบใจน้องก้องเป็นอย่างมากที่ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราเป็นอย่างมาก

ก็เหลือพวกเราที่จะต้องเดินทางกันละ อ.เชิดไปกับสุพรรณ คำนึง น้องมิ้นและเราไปด้วยกัน อ.แรนดี้ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกใหม่ก็คุยสนุกดี พอไปไกลมากเข้าเสียงก็เงียบลงเบาลง ยิ่งผ่านด่านตรวจคนตามชายแดนก็ชักจะยังไงกัน ก็เลยบอกแกว่าไม่มีอะไรหรอก ครอบครัวเราเคยมาที่นี่เส้นทางแถวๆนี้เมื่อ 30 ปีมาแล้ว ตอนนี้เจริญมาก









อ.สุพรรณพาเข้าไปหมู่บ้านซึ่งแยกซ้ายจากถนนใหญ่ไปอีก10กว่า กม. ไปถึงมีพี่น้อง ชาวบ้าน ศิษย์เก่ามาคอยต้อนรับอย่างอบอุ่นใจ ศิษย์เก่าประพันธ์ไม่ได้เจอะหน้าหลายปีก็มาคอยต้อนรับ ดีใจมากที่ได้พบหน้า นั่งคุยกันสักพักต่างก็ขอตัวเข้านอน บ้านสุพรรณปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเยอะมาก มีห้องน้ำห้องท่าจัดเตรียมต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ไปครั้งนี้สบายกว่าเดิมเยอะมาก

ตื่นเช้ามาก็ได้กลิ่นแปลกๆแต่คุ้นจมูก ก็ออกไปดูว่ามาจากไหนเห็นเด็กหญิงสองคนทำอาหารกันในห้องครัว กลิ่นออกมาจากห้องครัวนี้เองที่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน

สักพักหนึ่งสุพรรณก็พาเราไปที่คริสตจักรพี่น้องพร้อมจะนมัสการพระเจ้ารอท่าเราอยู่ พวกเราที่ไปด้วยกันก็กล่าวคำทักทายและแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าพอสมควร พี่น้องตั้งใจฟังชนิดใจจดจ่อกันทั้งนั้น
เราไม่เลิกเขาก็นั่งฟังกันได้ตลอด นี่เป็นความหิวกระหายในพระวจนะของพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่นี่ บางคนเดินทางมาด้วยเท้า2-3กว่าจะมาถึง สุดยอดของความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าจริงๆครับ


บ่ายวันนั้นเราออกไปเยี่ยมบ้านประพันธ์ ลูกศิษย์ที่รับใช้พระเจ้าที่บ้านแม่ต้านกับภรรยาราตรี ก็ได้ไปอธิษฐานเผื่องานของพระเจ้าที่นั่นด้วย

จากนั้นก็กลับมาเทศนาฟื้นฟูกับพี่น้องที่คริสตจักรกันต่อจนถึง3-4ทุ่ม พี่น้องก็ขึ้นภูเขาไปอธิษฐานโต้รุ่งกันต่อ

พอรุ่งเช้าเราทุกคนอดอาหารอธิษฐานกันทั้งวันจนถึง 4 โมงเย็น จึงค่อยลงมาจากภูเขา เป็นประสบการณ์อะไรที่จะลืมได้ยากที่ได้ไปภูเขาอธิษฐานนี้ ภรรยาสุพรรณขับรถยนต์ไปส่งเราที่ทางขึ้นภูเขา จากนั้นเราต้องเดินขึ้นไปเอง ไม่ได้เดินขึ้นภูเขาแบบนี้มาเป็นปีๆแล้วในใจก็นึกโมโหสุพรรณว่าทำไมต้องให้เรามาลำบากลำบนอย่างนี้




แต่เมื่อนึกถึงอ.จอลิ ท่านอายุ 75 ปีแล้ว ท่านยังขึ้นไปได้ ก็ใจแข็งอดทนเอา ถ้าตายบนนี้ก็ขอให้ฝั่งบนนี้เลยไม่ต้องลำบากแบกกันลงไปอีก ก็นึกในใจอย่างนี้ ขึ้นไปทุก 3-4 ก้าวเราต้องหยุดพักเอาแรง แต่พอไปถึงแล้ว เห็นพี่น้องต้อนรับเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ความเหน็ดเหนื่อยก็หายไปหมดสิ้น 
  

อธิษฐานแบ่งปันกับพี่น้องจนถึงบ่าย4โมงเย็นเราก็ค่อยลงมา พี่น้องเหล่านี้เป็นนักอธิษฐานจริงๆ ที่ภูเขาอธิษฐานนี้ถูกป่าไม้มาไล่หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้ารื้อทำลาย เคยมีคนมาเผาป่าใกล้ศาลาอธิษฐานในวันอาทิตย์ แต่พระเจ้าก็บอกให้ผู้นำรีบขึ้นไปภูเขาเดี๋ยวนี้ ก็ไปทันดับไฟก่อนจะไหม้ศาลา ไม่นานคนที่เผาป่าคนนั้นก็ล้มป่วยหนักแต่ไม่ถึงตาย จากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้ารบกวนยุ่งเกี่ยวกับภูเขาอธิษฐานนี้อีกเลย พอใกล้จะถึงเวลา4โมงเกือบจะเสร็จการอธิษฐาน มีพี่น้องผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขึ้นบนบ้านอธิษฐานพลาดยังไงไม่ทราบ หัวฟาดพื้นชักตาค้าง หมดสติ พวกเราต้องรีบอธิษฐานกันใหญ่ คงจะเป็นลม เพราะทั้งอธิษฐานโต้รุ่ง อดอาหารทั้งวัน ร้อนก็ร้อน แต่ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีก ทำเอาพวกเราใจหายใจคว่ำนึกว่าวัยชัยชนะจะเป็นวันพ่ายแพ้แก่มารเสียอีก แต่ชัยชนะก็เป็นของพระเยซูเช่นเคย ฮาเลลูยาห์
ขาลงเสธคำนึงกับศบ.เชิดศักดิ์นำพี่น้องลงภูเขาอย่างคล่องแคล่วเชียวหล่ะ ผิดกับขาขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ 

  
 
พอไปถึงที่บ้านพักอ.สุพรรณ กลิ่นคุ้นเคยโชยเข้าจมูกอย่างจัง ไม่ใช่กลิ่นตอนเช้าครับ เป็นกลิ่นเค็กกับขนมปังโฮมเมดครับ คุณสมศรี ศรีภรรยาอ.สุพรรณทำไว้รอท่าเราครับ เมื่อช่วงคืนสู่เหย้าเขาได้ไปเรียนกับอ.ดอนมาและทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนครูของเขาเลยครับ อ.ทัศน์รับรองความอร่อยเลยครับ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อดอาหารกันมา โดยเฉพาะอ.แรนดี้ที่ไปด้วยกันกับเรา จัดการเสีย5อัน ไล่เลี่ยกับอ.ทัศน์ โดยที่ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงเลยครับ
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ อ.จอลิ ก็เชิญไปทานอาหารที่บ้านของท่านต่อ พี่น้องที่นี่จะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราไปทาอาหารบ้านของเขา เขาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีครับอาหารเพรียบ
คืนนั้นทีมผู้รับใช้ก็ร่วมใจกันแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างสุดเล่มเกวียนเลยครับ ต้องนมัสการกันข้างนอก พี่น้องมาร่วมกันเยอะมาก

เช้าวันอาทิตย์พี่น้องไปอธิษฐานแต่เช้าตรู่ที่คริสตจักร ต้อนรับวันอิสเตอร์ วันเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา สายๆ7โมงเช้า พวกเราก็ออกไปเข้าแถวเตรียมเดินขบวนไม่ประท้วงใครแต่จะเดินอวยพระพรหมู่บ้าน อธิษฐานเผื่อหมู่บ้านและประเทศไทยเดินตอนเช้าๆค่อยยังชั่วหน่อย ราวๆ2-3 กม.แต่ชุดศาสนาจารย์นี่สิ เอาเหงื่อซกเลยเชียว ไม่ได้เอาของตัวเองไปก็ยืมของอ.สุพรรณใส่ เขาให้ทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นขอให้พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกย่องและข่าวประเสริฐประกาศแพร่ออกไปครับ 

หมู่บ้านหนองบัวนี้สุดเขตประเทศไทยเลยครับ กลับมาก็พักสักนิดแล้วก็เทศนาต่อ จากนั้นไปทานอาหารแล้วก็เตรียมตัวไปบัพติสมาพี่น้องลูกหลานที่รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 45 คน
บรรยากาศในการบัพติสมาในแม่น้ำเมยของพี่น้องในวันนั้น ประกาศให้พี่น้องในหมู่บ้านนั้นถึงข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ บางคนหายโรคอย่างอัศจรรย์ บางคนมีชีวิตใหม่ บางคนได้รับการสัมผัสจากพระเจ้าด้วยวิธีหลายๆรูปแบบและได้เข้ามารับบัพติสมา
ในปีนี้ที่แม่น้ำเมย สายน้ำมหัศจรรย์ที่ไหลย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือแทนที่จะไหลลงใต้ เสร็จจากบัพติสมาพี่น้องเสร็จเราก็ต้องรีบเดินทางกลับบ้านเพราะยังมีงานค่ายคอยท่าเราอีกครับ ออกจากบ้านหนองบัวไปแวะทานข้าวกับพี่น้องที่ลพบุรีสักพักใหญ่ก่อนจะถึง โมริยาห์ก็เที่ยงคืนกว่าๆ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกๆสิ่งครับ






วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

ปิติพล(พอล Paul) นักคิด มิตรแท้

หลายคนชอบใจชื่อของลูก "พอล" คนไทยเรียกว่าพอแล้ว(ต่อมาลูกขอเปลี่ยนเป็น ซีค หรือมาจาก เศคาริยาห์) คนสุดท้องในครอบครัว ลูกร่าเริงมาก หัวเราะได้ตลอด สมกับชื่อของลูกจริงๆ 
น่าเสียดายที่พี่คนโตไม่ได้เห็นวันที่ลูกเกิด ครอบครัวเราเริ่มขยายออกแล้ว พี่ๆทุกคนรักและช่วยกันดูแลน้องเล็กคนนี้มาก มีครั้งหนึ่งที่เราพาลูกไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อเมริกา เราฝากลูกกับพี่เบนนี่ไว้ที่บ้านคุณตาคุณยาย พ่อกับแม่ไปรับปริญญาพี่แซนดี้ คุณตาคงจะเห็นอาการของลูกคนสุดท้องที่ถูกตามใจจากพี่ๆน้องๆมาก และลูกคงทำอะไรสักอย่างที่คุณตาต้องลงวินัยลูก พี่เบนนี่บอกว่า "พอลวิ่งมาหาผมแล้วตะโกนลั่นว่า ตาจะฆ่าฉันๆ" เราลืมบอกลูกไปว่าคุณตาไม่ชอบเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจมากจนเกินไป คุณตาเคยเป็นครูเก่ามาก่อนหลายคนชอบใจชื่อของลูก "พอล" คนไทยเรียกว่าพอแล้ว คนสุดท้องในครอบครัว ลูกร่าเริงมาก หัวเราะได้ตลอด สมกับชื่อของลูกจริงๆ น่าเสียดายที่พี่คนโตไม่ได้เห็นวันที่ลูกเกิด ครอบครัวเราเริ่มขยายออกแล้ว พี่ๆทุกคนรักและช่วยกันดูแลน้องเล็กคนนี้มาก มีครั้งหนึ่งที่เราพาลูกไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อเมริกา เราฝากลูกกับพี่เบนนี่ไว้ที่บ้านคุณตาคุณยาย พ่อกับแม่ไปรับปริญญาพี่แซนดี้ คุณตาคงจะเห็นอาการของลูกคนสุดท้องที่ถูกตามใจจากพี่ๆน้องๆมาก และลูกคงทำอะไรสักอย่างที่คุณตาต้องลงวินัยลูก พี่เบนนี่บอกว่า "พอลวิ่งมาหาผมแล้วตะโกนลั่นว่า ตาจะฆ่าฉันๆ" เราลืมบอกลูกไปว่าคุณตาไม่ชอบเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจมากจนเกินไป คุณตาเคยเป็นครูเก่ามาก่อน

บัญชา(เบนนี่ Benjamin) นักประดิษฐ์ คิดไกล

ในบรรดาลูกที่เกิดมาที่พ่อได้มีโอกาสเข้าไปให้กำลังใจแม่ มีลูกเบนนี่นี่แหละที่แปลกกว่าคนอื่น พอพยาบาลเข็นลูกออกมาจากห้องคลอด พ่อจำได้ว่าลูกมองไปทั่วห้อง ลูกกวาดสายตาดูไปมาเหมือนเด็กโตแล้ว พ่อแปลกใจมากว่าลูกมองดูอะไร ลูกจำได้ไหมวันนั้นน่ะ





ลูกชอบการจัดการ โตมาคงจะเป็นผู้จัดการแน่ๆ ลูกคิดไปล่วงหน้าจนบางครั้งพี่ๆก็หงุดหงิดเพราะพี่เขายังคิดไปไม่ถึงเลย แต่ลูกก็จัดการบอกพี่ๆไปเรียบร้อยแล้ว และเป็นสิ่งที่พี่ๆจะต้องทำจริงๆเสียด้วย ฉลาดล้ำ








วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

ฤดีพร (จอย Joy) สวยสดใส ชื่นใจทุกๆคน





น้องจอยเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เกิดในดินแดนอีสานบ้านเฮา ลูกคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนโคราช วันที่ลูกเกิด คุณตาดูเอนและคุณยายจอยส์ มาพักอยู่กับน้าแดนและน้าเกลล์ที่โคราชพอดี แม่ก็ฝากเด็กๆให้คุณตาคุณยายช่วยดูแล พ่อก็พาแม่ไปคลอดที่โรงพยาบาลแล้ววันนั้นลูกก็ออกมาดูโลกเลย ช่างง่ายดายจริงๆ พ่อกับแม่ก็เลยตั้งชื่อว่าจอย ตามชื่อคุณยายจอยส์ แปลว่าร่าเริง ชื่นชมยินดี




จากนั้นก็พาลูกกลับที่ปากช่อง ก็มีเหตุการณ์ที่เกือบจะเสียลูกไปเลยที่เดียว หมอที่โรงพยาบาลได้สั่งยาให้ลูกทาน เมื่อเรารับยากลับไปบ้านแล้ว แม่ก็ให้ลูกทานยาตามที่หมอสั่ง ทานไปได้หลายวัน



แม่เห็นว่าลูกมีอาการผิดปกติ หัวใจเต้นแรง ไม่หลับไม่นอน ตากว้าง
ปกติ ก็รีบพากลับไปหาหมอ ปรากฏว่ายาที่หมอสั่งขนาดให้ยาเป็นซีซี แต่เภสัชเขียนเป็นช้อนชา เท่ากับให้2-4เท่าของยา มิน่าลูกถึงกับตาค้างไปหลายวันเลย หมอรีบมาขอโทษพ่อกับแม่ถึงที่บ้านเราเลย ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกไม่เป็นอะไร นอกจากซนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
 


 

ยุทธพงศ์ (โจว์ โจเซฟ Joseph) นายช่าง มีวิสัยทัศน์

หนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้ เกิดมาท่ามกลางงานที่ยุ่งมากๆในช่วงนั้น และไม่มีอะไรผิดปกติเลย ทุกอย่างราบรื่นไปหมด แม่เข้าห้องคลอดตามปกติ คลอดแล้วก็อยู่โรงพยาบาลไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ ลูกคลอดง่ายมาก

เราย้ายบ้านไปอยู่ตึก 7 บ้านคันทรีโฮมเริ่มมีปัญหาต้องซ่อม ลูกก็จึงได้ย้ายเข้าที่พักใหม่ แต่แล้วไม่นานครอบครัวเราก็ไปอเมริกาขณะที่ลูกมีอายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง ลูกก็เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปอเมริกาแล้ว

มองดูผิวเผินเหมือนลูกไม่ชแบแสดงออกแต่ลูกชอบตลก ชอบแซวพี่ๆน้องๆอยู่เป็นประจำ ลูกฉลาดลึกๆ ใครไม่รู้ก็เดาใจไม่ออก แต่ก็ไม่พ้นสายตาพ่อและแม่หรอกน่า
พอโตมาหน่อยความเป็นช่างเหมือนคุณปู่คุณตาของลูกก็สำแดงออกแล้วเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้านเราเสียลูกจะซ่อมได้หมด แม้ว่าบางครั้งญี่ปุ่นหรือโรงงานจีนทำอาหลั่ยเกินมาก็ตาม ไม่พ้นมือลูกจัดการให้เป็นอาหลั่ยสำรองไปเลยก็ตาม