ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ใจที่จงรักภักดี

ใจที่จงรักภักดี

เพราะ‍ว่า​พระ‍เนตร​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​สอด‍ส่อง​อยู่​เหนือ​แผ่น‍ดิน​โลก​ทั้ง‍หมด เพื่อ​ให้​กำลัง​กับ​คน​เหล่า‍นั้น​ที่​จริง‍ใจ​ต่อ​พระ‍องค์ แต่​ฝ่า‍พระ‍บาท​ทรง​ทำ​อย่าง​โง่‍เขลา​ใน​เรื่อง​นี้ เพราะ​ตั้ง‍แต่​นี้​ไป​ฝ่า‍พระ‍บาท​จะ​ทรง​มี​ศึก​สง‌คราม” (2 พงศาวดาร 16: 9)


ถ้าเรามีใจที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าจริงๆ เราไม่ต้องเดือดร้อนวิ่งหาพระเจ้าที่ไหนแล้ว เพราะพระองค์เฝ้ามองดูคุณอยู่เสมอ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ ทุกๆครั้งทุกๆเวลา ยิ่งเมื่อพระองค์มาพบกับคนที่จงรักภักดีต่อพระองค์เมื่อไหร่ ก็จะทรงประทับใจต่อเขาเหล่านั้นยิ่งทวีคูณยิ่งขึ้น ซึ่งกษัตริย์อาสาทรงทราบเรื่องนี้ดี (2 พศด14.11)เมื่อพระองค์เผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าเกินกำลังของพระองค์ที่จะเอาชนะได้ แต่พระเจ้าก็ประทานชัยชนะแก่กษัตริย์อาสา แต่แม้ว่าในการอัศจรรย์จากพระเจ้าครั้งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตากษัตริย์อาสาก็ตาม ศึกต่อมากษัตริย์อาสากลับพ่ายแพ้ย่อยยับกับศัตรูที่จำนวนน้อยกว่าด้อยกว่า จิตใจของกษัตริย์อาสาหย่อนยานในการจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระเจ้าได้หนุนใจกษัตริย์อาสาว่าพระเจ้าไม่เคยหลับหรือเคลิ้มไป ไม่เคยเลอะๆเลือนๆ แต่ทรงหมั่นเพียรแสวงหาคนที่มีจิตใจจงรักภักดีอย่างแท้จริงกับพระองค์

ปัญหาอุปสรรค์ในชีวิตของเราอาจจะท้าทายให้เราสงสัย ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากคุณรู้สึกว่าคุณมีความอ่อนแอเกินไปที่จะต่อสู้กับศึกครั้งนี้ จงอย่ายอมแพ้ จงให้จิตใจของคุณมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างสุดซึ้งหมดหัวใจ พระเจ้าพร้อมที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพระองค์ผ่านเข้าไปหในชีวิตของคุณ พระเจ้าทรงเฝ้ามองดูคุณตลอดเวลาพร้อมที่จะทรงประทานชัยชนะให้แก่คุณในสถานะการณ์ที่คุณกำลังประสบอยู่เวลานี้ เช่นที่พระองค์ได้ประทานให้แก่บรรดาคนของพระองค์ในอดีตมามากมายแล้ว

ปัญหาไม่ใช่ที่พระเจ้าเฝ้ามองเราหรือไม่แต่อยู่ที่เราเฝ้ามองหาพระองค์ด้วยจิตใจที่มีความจงรักภักดี(อย่างแท้จริง ไม่เสแสร้ง แสดงละครศาสนา)

ขอหนุนใจในพระสัญญาของพระเจ้าที่พระเจ้าเฝ้ามองดูเราอยู่เสมอทุกเวลาพร้อมที่จะประทานชัยชนะเหนือการศึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราตลอดทุกครั้งไป



A Loyal Heart

For the eyes of the LORD run to and fro throughout the whole earth, to show Himself strong on behalf of those whose heart is loyal to Him. (2 Chronicles 16:9)

If your heart is loyal to God, you do not have to look for Him, He is already looking for you! God told King Asa that He continuously watches for those who are steadfast in their commitment to Him. When He finds them, He makes His presence powerfully evident to them. King Asa had experienced God’s awesome power when he faced a menacing army from Ethiopia (2 Chron. 14:9). God gave Asa victory, despite the overwhelming odds he faced. In spite of this miracle, the next time Asa faced an enemy he failed to trust God. Even though the army Asa faced was smaller than the one God had previously defeated, Asa’s faith in God faltered. God encouraged Asa to take courage in knowing that God never rests or sleeps. He is never distracted, but diligently seeks individuals whose hearts are completely committed to Him.

Life’s challenges sometimes seem impossible. Do you feel you are too weak to fight the battle? Don’t give up! Keep your heart loyal to God, for He constantly watches over you, and He desires to demonstrate His strength in your life. God is willing and just as capable of giving you victory in your current challenge as He was with those in times past. The question is not whether God is looking for His people, but whether His people are seeking Him. Take comfort in God’s promise that He watches over you and He wants to give you victory.



วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การแสวงหาพระเจ้า

จริงๆแล้วคริสเตียนไม่ต้องแสวงหาพระเจ้าแล้ว ถ้าเขาได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอดของเขา นั่นก็คือการพบกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว แต่ที่คริสเตียนพูดกันว่าแสวงหาพระเจ้าในทุกวันนี้ก็คือการแสวงหาการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าหรือการอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้านั่นเอง ถามว่าอ้าว..เมื่อเป็นคริสเตียนแล้วก็ต้องอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าสิ หรือพระเจ้าก็อยู่ด้วยเมื่อเป็นคริสเตียนไม่ใช่หรือ ใช่และไม่ครับ แน่นอนพระองค์ทรงสถิตอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งได้ในเวลาเดียวกัน ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นจ้าวของทุกสิ่งในโลกและกัลปจักรวาลของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นมา และทรงสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์ตามพระสัญญาที่จะทรงอยู่กับเราในทุกสถานะการณ์ จะทรงเปลี่ยนจากสิ่งร้ายกลายเป็นดีและทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไปจนกว่าจะสิ้นยุค แต่แปลกที่คริสเตียนยิ่งวิ่งหาพระเจ้าที่โน่นที่นี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่พระองค์สถิตอยู่กับเราทุกเวลา

แล้วเมื่อไหร่ที่การทรงสถิตของพระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา ก็เมื่อเราหนีพระพักตร์พระเจ้าไปยุ่งวุ่นวายหรือหลงไปตามเนื้อหนังทำบาป ไม่ได้ไว้วางใจพระองค์จนเราพบว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ด้วยกับเรา

ด้วยเหตุนี้ที่เราได้ยินคำว่าจงแสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่เสมอ หรือดำรงอยู่ในพระสถิตของพระเจ้าตลอดเวลานั่นเอง





การแสวงหาพระเจ้า

ไม่ได้หมายถึงตั้งหน้าตั้งตามองหาพระเจ้าที่โน่นที่นี่ หรือวิ่งไปวิ่งมาหาพระเจ้าในที่หนึ่งที่ใดพิเศษ จริงๆคือการตั้งจิตใจต่อพระเจ้า เป็นท่าทีและความรู้สึกนึกคิดของเราชื่นชอบในพระเจ้า
1 พศด.22.19
“..บัด‍นี้ จง ทุ่ม‍เท จิต‍ใจ และ ชีวิต ของ พวก‍ท่าน ที่ จะ แสวง‍หา พระ‍ยาห์‌เวห์ พระ‍เจ้า ของ พวก‍ท่าน”
โคโลสี 3.1-2
1เพราะ‍ฉะนั้น เมื่อ พระ‍เจ้า ทรง ทำ ให้ พวก‍ท่าน เป็น ขึ้น มา ด้วย‍กัน กับ พระ‍คริสต์ แล้ว ก็ จง แสวง‍หา สิ่ง ที่ อยู่ เบื้อง‍บน ใน ที่ ซึ่ง พระ‍คริสต์ สถิต อยู่ คือ ประ‌ทับ อยู่ เบื้อง‍ขวา ของ พระ‍เจ้า 2จง เอา‍ใจ‍ใส่ สิ่ง ที่ อยู่ เบื้อง‍บน ไม่ ใช่ สิ่ง ที่ อยู่ บน แผ่น‍ดิน โลก

การแสวงหาสิ่งเบื้องบน ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของการคิดสิ่งที่อยู่ในที่สูง สวรรค์สถานหรือการเจิมพิเศษ หรือได้รับประสบการณ์สุดยอดกับพระเจ้าเท่านั้น อ.เปาโลบอกว่า” 5ขอ องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ทรง นำ ใจ ของ ท่าน‍ทั้ง‍หลาย ให้ เข้า ถึง ความ รัก ซึ่ง มา จาก พระ‍เจ้า และ ถึง ความ ทรหด อดทน ซึ่ง มา จาก พระ‍คริสต์” 2 เธสะโลนิกา3.5
ถ้าเราตั้งใจที่จะแสวงหาการสถิตของพระเจ้าและสิ่งของเบื้องบนจริงๆ พระเจ้าอยู่ในการกระทำแห่งความรัก ผลของความรักท่ามกลางคนทั่วๆไปในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง มีความอดทนอดกลั้นที่มาจากพระเยซูคริสต์ เราก็จะเห็นสวรรค์ท่ามกลางผู้คนและสถานะการณ์เหล่านี้ เมื่อเราให้ความคิดอ่านของเราอยู่ในพระเจ้าตลอดเวลา พระองค์พร้อมจะเปิดเผยความจริงและความหมายต่างๆของพระองค์ให้กับเราเช่นกัน

อุปสรรค์ของการแสวงหาพระเจ้า
จิตวิญญาณที่หย่อนยาน ขาดความกระตือรือร้น มักจะหลงทำผิดเดิมๆอยู่อย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้แหละจะปิดกั้นหนทางที่เราแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าในชีวิตเรา นานวันเข้าหากไม่เอาจริงเอาจังมันก็จะปิดหูปิดตาเรา ไม่ให้เราอยู่ในความจริงของพระเจ้า
เราจะต้องร้องเรียกแสวหงพระพักตร์ของพระเจ้าในใจของเราตลอดเวลา
อิสยาห์ 55.6 จง แสวง‍หา พระ‍ยาห์‌เวห์ ขณะ‍ที่ จะ พบ พระ‍องค์ ได้ จง ทูล พระ‍องค์ ขณะ‍ที่ พระ‍องค์ ทรง อยู่ ใกล้
โยบ 8.5-6 ถ้า ท่าน เอง จะ แสวง‍หา พระ‍เจ้าและ วิง‍วอน องค์‍ผู้‍ทรง‍มหิทธิ‌ฤทธิ์6ถ้า ท่าน บริ‌สุทธิ์ และ เที่ยง‍ธรรม แน่‍ละ พระ‍องค์ จะ ทรง เฝ้า‍ระวัง ท่านและ จะ ทรง บูรณะ ที่ อาศัย อัน ชอบ‍ธรรม ของ ท่าน
อุปสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ จิตวิญญาณเย่อหยิ่งผยอง แต่ผู่ที่ถ่อมใจแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจก็จะพบพระองค์
ฮีบรู 11.6 เพราะ‍ว่า ผู้ ที่ จะ มา เฝ้า พระ‍เจ้า นั้น ต้อง เชื่อ ว่า พระ‍องค์ ทรง ดำรง พระ‍ชนม์ อยู่ และ พระ‍องค์ ทรง เป็น ผู้ ประ‌ทาน บำ‌เหน็จ แก่ คน เหล่า‍นั้น ที่ แสวง‍หา พระ‍องค์ 







วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แท่นบูชาเปล่าๆ





หากมองผิวเผินจากพระธรรม 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 16:14และ พระ‍องค์ ทรง ย้าย แท่น‍บูชา ทอง‍สัม‌ฤทธิ์ ซึ่ง อยู่ เฉพาะ‍พระ‍พักตร์ พระ‍ยาห์‌เวห์ ออก เสีย จาก ข้าง‍หน้า พระ‍นิ‌เวศ อาจจะไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่บาปนี้ยังคงมีอยู่ในคริสตจักรปัจจุบัน

แท่นบูชา หรือแท่นเผาเครื่องบูชาที่พระเจ้ามอบหมายให้มาตั้งแต่สมัยโมเสสนั้นมีต่ำแหน่งที่ตั้งของแท่นบูชานี้เจาะจงจากพระเจ้าโดยตรง

แท่นบูชาเป็นสถานที่ปุโรหิตเอาเครื่องบูชามาเผาถวายพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นสัตวบูชา หรือธัญญบูชา ก็จะเผาบนแท่นนั้น

เมื่อกษัตริย์อาหับได้ไปเห็นแท่นบูชาของคนต่างชาติที่ดูหรูหรากว่า งดงาม ประดับประดาต่างๆจนดูไม่น่ากลัว พระองค์ก็จำลองแบบและเปลี่ยนเครื่องเผาบูชาของพระเจ้าและย้ายแท่นบูชาของพระเจ้าเอาไปไว้ที่อื่น และยังเปลี่ยนทางเข้าออกพระนิเวศเพื่อเห็นแก่พระราชาอัสซีเรีย

คงพอจะมองออกแล้วนะครับว่ากษัตริย์อาหับพลาดความเข้าใจเรื่องแท่นบูชาของพระเจ้า พยายามเอาใจกษัตริย์อัสซีเรีย สร้างแท่นเผาบูชาแบบดามัสกัสคงจะหรูหราน่าดูกว่าแบบของพระเจ้าที่เรียบง่าย พยายามย้ายที่ตั้งพระนิเวศในพระวิหารเพื่อไม่ให้มองเห็นพิธีกรรมเผาบูชาแบบอิสราเอล ที่อาจจะมีทั้งเลือด น้ำเหลืองเจิ่งนองบนแท่นบูชา

กษัตริย์อาหับคงลืมไปว่าแท่นบูชานั้นเป็นสถานที่ลบล้างบาปของมนุษย์กับพระเจ้า ไม่ใช่ที่จะไปอวดใครที่ไหน ไม่ใช่จะต้องไปเลียนแบบใคร เพราะการลบล้างบาปแบบของพระเจ้านั้นบนแท่นบูชานั้นเล็งไปที่กางเขนของพระเยซู ประชาชนคนเดินผ่านแท่นบูชาก็จะเห็นการเผาเครื่องบูชาเป็นเครื่องเตือนใจการทำบาปของมนุษย์ ทุกวันๆ

มวลมนุษย์ในโลกนี้ต่างก็เสาะแสวงหาหนทางที่จะพ้นบาป หากเราให้เขาเห็นแท่นบูชาปลอมๆแบบกษัตริย์อาหับที่มีแต่ของประดับหรูหรางดงาม จิตสำนึกในการยำเกรงต่อบาปหรือสะอิดสะเอียนต่อบาปก็จะไม่มีเลย

แท่นเผาบูชาของเรายังคงเป็นงานของพระเยซูเปล่าๆหรือเปล่าครับ ให้คนที่เขามาหาพระเยซูพบกับแท่นบูชาเปล่าๆดีกว่านะครับ

หากว่าอยากจะรู้ว่าแท่นสมัยพระคัมภีร์กับปัจจุบันต่างกันอย่างไร พิมพิ์คำว่า Altar ในกูเกิ้ลหรือดูจากลิงค์นี้ก็ได้นะครับ

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นักวิทยาศาสตร์โดนไล่ออกเพราะค้นพบอายุจริงๆของไดโนเสาร์ Scientist Fired for Discovering Something and Publishing What He Discovered

http://www.youtube.com/watch?v=M9VbDFCndMIhttp://www.youtube.com/watch?v=M9VbDFCndMI

Scientist Fired for Discovering Something and Publishing What He Discovered

ไม้กางเขนเปล่าๆ


เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก เพื่อกระทำพระราชกิจแห่งพระบิดาของพระองค์ให้สำเร็จ  พระองค์ไม่มีต่ำแหน่งอะไรเลย ไม่มี ลาภ ยศ ฐาบรรดาศักดิ์  ไม่มีเส้นไม่มีอำนาจใหญ่โตอะไรเลย ไม่มีทีมงานคอยแบ่งงานให้พระองค์ ไม่มีจิตใจหวังผลประโยชน์อันใดจากงานที่พระองค์ช่วยคนอื่นเลย งานประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ไม่มีของแถมเสริมแต่งใดๆจูงใจ นอกจากความรักด้วยน้ำใสใจจริงที่ออกมาจากใจของพระองค์เท่านั้น 

งานแห่งกางเขนของพระองค์เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลายจบสมบูรณ์แล้ว แต่ทางของกางเขนยังคงเป็นของเราที่ยังจะต้องรับและตามพระองค์ไปทุกวัน ขอให้งานของเราเป็นเช่นงานแห่งกางเขนล้วนๆไม่มีของแถมเสริมแต่งใดๆ จูงใจให้คนได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ ให้เป็นดั่งเช่นงานที่พระองค์ได้วางให้เป็นตัวอย่างแก่เราแล้ว

แท้จริงแล้ว กางเขนเป็นสัญญลักษณ์ของการประหารชีวิต เป็นเครื่องหมายแห่งความน่าอดสู น่าละอาย ไม่เหลืออะไรที่เป็นของตัวเราอีกต่อไป ซึ่งก็ควรที่จะเป็นเช่นนั้นกับบาปและงานแห่งเนื้อหนังของโลกนี้แต่ก็ตรงกันข้ามกับการสวมใส่กางเขนในปัจจุบันนี้ไปเสียแล้ว เพราะการประกาศข่าวประเสริฐในปัจจุบันต้องอาศัยของแถม ของเสริมเติมแต่ง ทำให้มีการเสแสร้ง แกล้งทำ สวมหน้ากากใส่กัน ขาดความจริงใจ เอาผลประโยชน์มาเป็นใหญ่ โอกาสที่จะสัมผัสพระคุณพระเจ้าโดยความเชื่อตรงๆกับพระเจ้ามีน้อยมาก แม้ตัวอย่างของผู้นำที่ลืมตัวจนล้มลงมากมายแล้วก็ตาม แต่ราคะ ตัณหาของมนุษย์ตัวเก่าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังตามความล้มเหลวโดยคิดว่าตัวเองจะต้องไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นได้

"16 เพราะว่า ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย
17 เพราะว่า ในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ"        

(โรม 1:16-17)

ลูกชายจับขโมย

ช่วงนี้มีแต่เรื่องกระทบใจเกิดขึ้นหลายอย่าง เพิ่งทราบมาว่าวันที่ 23 หลังจากกลับมาจากงานไว้อาลัยคุณแม่ศรีนวลจากไปได้ 2 วันก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว

ชัชวาล(โยชูวา ในรูปกำลังเสริฟ์เครื่องดื่มให้พี่สาว) ล.สุวรัตน์ ที่อยู่เมืองเดียวกับพี่สาว พญ.ศันสนีย์ ล.สุวรัตน์ เครกส์ ที่เมืองมินินแอมโพลิส มินิโซต้า จับโจรที่เข้ามาขโมยเงินในร้านอาหารที่เขาทำงานได้คามือ(น่าจะคาอย่างอื่นด้วยนะ....ฮึมเสียดายพ่อไม่อยู่ด้วยไม่งั้นเจอะแน่)

จอช(ชื่อเล่น)บอกว่า เมื่อโจรคนนี้เข้ามาในร้าน จอสรู้สึกว่ามันไม่ปกติ ท่าทาง การแต่งตัว ถือถุงกระดาษเก่าและหนังสือพิมพิ์เข้ามาในร้านที่จอชกับเพื่อนกำลังทำงานอยู่ ช่วงนั้นยังไม่คนเข้าร้าน

โจรก็ทำเป็นไปแลกเงิน20เหรียญขอเป็นเศษเหรียญเยอะแยะกับเพื่อนของจอชที่โต๊ะเครื่องเก็บเงิน พอจอชบอกว่าไม่สั่งอาหารหรือเครื่องดื่มหรือ โจรมันก็บอกว่าเพื่อความพอใจของเธอ ขอแล้วสั่งของว่างกับจอชที่มันวางอยู่ไกลๆตู้เก็บเงิน ขณะเดียวกันที่เพื่อนของจอชเผลอ โจรก็แกล้งทำตัวล้มเซไปข้างหน้า พร้อมกันนั้นก็เอาหนังสือพิมพิ์ที่โจรถือมาบังมือแล้วล้วงหยิบเงินในลิ้นชักที่เพื่อนของจอชเปิดออกและไม่เห็นมือโจร แต่จอชมองเห็นทั้งหมด เพราะจอชรู้สึกว่าคนนี้ไม่ปกติตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้ว แม้ว่าตัวจอชจะไปหยิบของว่างที่อยู่ไกลจากเพื่อที่โต๊ะเครื่องเก็บเงินก็ตาม แต่ก็ไม่พ้นจอชที่ไวกว่า กระโดดไปตระครุบมือโจรที่กำเงินจากลิ้นชักได้ โจรยังมีหน้าเถียงจอชว่านี่เป็นเงินของมัน จอชบอกว่าแกไม่ต้องพูดมากเดี๋ยวจะเรียกตำรวจ มันก็รีบปล่อยเงินทั้งหมดแล้ววิ่งหนีออกไป ขอบคุณพระเจ้าที่โจรมันไม่ทำร้ายหรือก่อเหตุแย่ไปกว่านี้ โจรอายุราว 50 กว่าๆ


จอชกับเพื่อก็รีบโทรไปเรียกตำรวจและเอาวิดีโอวงจรปิดพร้อมภาพพร้อมเสียงให้ตำรวจไปตามโจรคนนี้ น่าเสียดายที่เจ้าของไม่ยอมให้จอชได้ภาพวิดีโอมาโพสลงแต่ขอบใจลูกชายที่ช่วยปกป้องโจร ขอพระเจ้าคุ้มครองลูกชาย นายชัชวาล(โยชูวา) ล.สุวรัตน์(อายุ 19 ปี ลูกคนที่ 6ใน 10 คน) กำลังทำงานเก็บเงินเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า





วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พิธีไว้อาลัยคุณแม่ศรีนวล ล.สวุรัตน์



คุณแม่ศรีนวล ล.สุวรัตน์ นักสู้ผู้ไม่เสแสร้ง

ทันที่ผมได้ข่าวว่าคุณแม่สิ้นลมไปอย่างสงบที่บ้านลำพูนก็รู้สึกตกใจกับ การจากไปของคุณแม่อย่างรวดเร็วเพราะก่อนหน้านั้นก็ได้โทรศัพท์คุย กับคุณแม่ทุกวันๆละสองครั้งเป็นอย่างน้อย ก็รู้เพียงว่าคุณแม่บ่นว่า เหนื่อยแต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อวานพี่ชายก็พาไปคีลนิคหมอก็บอกว่า อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว แต่ใบไม้จะร่วงจากต้นเมื่อถึงเวลาก็ไม่มีอะไรมายั้บยั้งได้


ญาติพี่น้องก็เข้ามาช่วยเหลือกันเป็นอย่างดีมากๆน้ำใจของพี่น้องสุดซึ้งที่จะลืมได้ แต่พอถามว่าจะเอาพิธีไหนกันยังไงเพราะครอบครัวเรานั้นมีทั้งพุทธทั้งคริสต์ เวลานั้นผมยังติดงานอยู่ที่กรุงเทพ ก็รู้ว่าคุณแม่ศรีนวลเป็นคนที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ชอบมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ไม่อยากจะทำให้ใครเดือดร้อน เรียบๆง่ายๆผมกับญาติๆก็ตกลงกันว่าเอาคุณแม่ไปไว้ที่วัดช้างรอง แล้วก็ทำพิธีทั้งสองอย่างที่นั่นทุกคนก็เห็นด้วยและสบายใจกันทุกคน


คุณแม่ศรีนวลเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีมาโดยตลอด รักษาศีล รักษาธรรม เป็นตัวอย่างของลูกหลานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย 

หลายคนที่รู้จัก คุณแม่ศรีนวลจะรู้ว่าคุณแม่เป็นคนแข็งๆ แรงๆ ไม่อ้อมค้อม พูดหวานไม่ค่อยจะเป็น แต่มีความจริงใจแกจึงเป็นคนพูดตรงไปตรงมาก จริงก็ว่าจริงไม่ก็ว่าไม่ ไม่ยอกย้อนไม่เสแสร้ง คุณแม่จะออกไปทางแกร่งๆห้าว ถ้าเป็นเจ้าของค่ายมวยก็ไม่มีปัญหาเลย แต่ในความแข็งของคุณแม่ก็มีความเมตตาอ่อนโยนต่อผู้อ่อนแอกว่าและลำบากกว่าทุกคน คุณแม่ชอบแจกชอบช่วยเหลือคนอื่น

เวลาคุณแม่มาที่บ้านเราหรือไปเยี่ยมลูกหลานที่เมืองนอกคุณแม่มักจะ มองหาของฝากติดไม้ติดมือไปฝากคนอื่นอยู่เสมอ คุณแม่จะถามผมหรือภรรยาอยู่เสมอว่ามีอะไรที่ไม่ใช้บ้างจะเอาไปฝาก คนอื่น คุณแม่จะมีความคิดถึงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คุณแม่ศรีนวลยังเป็นลูกเสือชาวบ้านของพระราชา รุ่น หริภุณชัยที่คุณแม่ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายท่านสส.อาวุโส ท่านสันติ์ เทพมณีได้ให้เกียรติมาเป็นประธานงานมอบผ้าผันคอให้กับทายาทต่อไป

หลังจากที่คุณพ่อเสียไป คุณแม่ก็มาอยู่กับครอบครัวผม 15 ปีมาช่วยทำอาหารให้นักศึกษาที่มาเรียนที่สถาบันพระคริสต์เพื่อชาวไทย ที่ผมทำงานอยู่ ซึ่งตอนแรกคุณพ่อตั้งใจว่าจะมาช่วยแต่ท่านก็จากไปเสียก่อนคุณแม่ก็ เลยอาสามาช่วยงานแทนคุณพ่อ นอกทำอาหารให้ลูกศิษย์พระคริสต์เพื่อชาวไทยอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ไม่พอ คุณแม่ก็เป็นเสมือนคุณแม่ของเด็กๆเหล่านี้ ที่สอนสั่ง ดุว่า รัก ห่วงใย ดุจดั่งลูกๆของคุณแม่เช่นกัน แม้ว่าช่วงที่คุณแม่พักผ่อนแล้วก็ยังคอยถามผมอยู่เสมอว่าลูกศิษย์คนนั้น
คนนี้เป็นอย่างไง อยู่ที่ไหน แกจะคอยถามหาลูกศิษย์ที่แกเลี้ยงมากับมือของแกอย่างห่วงหาอาทร

ลูกหลานนำร่างคุณแม่ไปสู่สุสาน 

เช้าวันหนึ่งหลังจากที่คุณพ่อเสียไปไม่นาน คุณแม่ตื่นมาถามผมว่า พระเยซูหน้าตาเป็นอย่างไงผมก็นึกในใจว่าคุณแม่จะมารับเชื่อพระเยซู หรือไงผมก็บอกว่าตั้งแต่ผมรับเชื่อพระเยซูมาก็ยังไม่เคยเห็นพระองค์ เลย คุณแม่ก็บอกว่า เมื่อเช้าตีสาม พระเยซูปรากฏให้แม่เห็นบนท้องฟ้า แล้วคุณแม่ก็อธิบายให้ผมฟังว่าคุณแม่เห็นพระเยซูมีผ้าคลุมศรีษะและ ยิ้มให้คุณแม่ คล้ายๆจะปลอบใจคุณแม่ว่าคุณพ่ออยู่กับพระองค์แล้ว ให้สบายใจเถิด เสร็จแล้วพระองค์ก็หายไป แล้วนับตั้งแต่นั้นมาคุณแม่ก็ไม่ขัดขวางต่อต้านความเชื่อในพระเยซูอีก  เลย ผมก็รู้แล้วว่าคุณแม่ได้พบกับของจริงแล้วก็อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่าคุณแม่เสแสร้งไม่เป็น จริงก็ว่าจริงไม่ก็ว่าไม่ แค่นี้พอ นอกนั้นเป็นความชั่ว


ผมเชื่อว่าเวลานี้คุณแม่ได้ไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแน่นอน เพราะพระองค์ตรัสว่า "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน" (มัทธิว บทที่7 ข้อ7)ผมจำคำที่คุณพ่อสอนผมเมื่อผมถามคุณพ่อว่าผิดไหมที่เราจะไปเชื่อ พระเยซู คุณพ่อบอกผมว่า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ พุทธศาสนิกชนทุกคนให้เป็นคนแสวงหาความจริง ไม่งมง่าย มีเหตุมีผล ถ้าสิ่งใดที่เราแสวงหาแล้วพบความจริงทำให้เราเป็นคนดีได้ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรเลย หรือถ้าจะพูดภาษาคุณพ่อของผมว่า ถ้าพระเยซูทำให้ลูกเป็นพุทธที่ดีได้ก็ไม่ผิดอะไรเลย

ผมก็เชื่อว่าถ้าเราเสาะแสวงหาความจริง ไม่เสแสร้ง จริงใจต่อกัน ไม่ยัดเยียดบังคับใจกัน รักกัน เห็นอกเห็นใจกันเราก็จะอยู่ร่วมกันในสังคมโลกนี้ ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นแน่นอน  คุณแม่ศรีนวลของลูกหลาน ญาติพี่น้องได้หยุดแสวงหาสันติสุขในชีวิตของท่านแล้วและถ้าจะให้เล่า เรื่องราวประวัติของคุณแม่ศรีนวล 87 ปีที่ผ่านมาก็คงจะได้สมุดเล่มหนาๆเลยทีเดียวครับ สิ่งหนึ่งที่ชีวิตคุณแม่ศรีนวล ล.สุวรัตน์ ทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่างก็คือ ความจริงที่ทำให้ท่านเป็นไท ที่คุณแม่ได้พบแล้วและยึดมั่นมาโดยตลอด ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่มาร่วมในพิธีเป็นอย่างสูงครับ 
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

เชิญเข้าชมงานที่ผมทำได้ที่
http://campmoriah-thailand.blogspot.com/
หรือ Email: thaipastors@gmail.com
เฟสบุค Tosh L Suwarat 

ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ


วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ศาสนารัก


คิดว่าใกล้จะได้กลับไปนั่งหน้าไมค์จัดรายการเพลงอมตะเหล่านี้แล้วครับ เพลงอมตะเพราะๆที่มีเนื้อหาที่ดีอย่างนี้มีอีกเยอะครับ ลองฟังดูนะครับ
https://92fm.opendrive.com/files?M181NTQwNTg1MV92Ykh5dQ
http://www.youtube.com/watch?v=sgUSdigHLKE

หลักศาสนาทั่วไป ย่อมมีสรณะยิ่งใหญ่องค์เดียวยึดไว้แน่นหนา 

หลักรักควรตรึงติดตรา เช่นศาสนาที่บูชานั้นเทียว

ศาสนารักก็มี สั่งสอนซาบซึ้งทวีบูชาสามีผู้เดียว
นอกนั้นไม่ปองข้องเกี่ยว มั่นแต่รักเดียวผัวเดียวตลอดไป

มีพระเจ้าแห่งรักเพียงหนึ่ง เป็นที่พึ่งนับถือให้ซึ้งฤทัย
ชู้เท่ากับมารพาลหัวใจ ใช่พ่อพระควรอาลัยใจอย่าได้นำพา

กงจักรไม่เหมือนดอกบัว 
เรื่องชายเรื่องชู้เรื่องชั่วพาตัวหมองมัว­หนักหนา
ผิดศีลธรรมแลต่ำช้า บาปกรรมหนักหนาชั่วช้าเลวทราม

คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล
ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
ขับร้อง มัณฑนา โมรากุล

ศาสนารัก มัณฑนา โมรากุล เขียนเล่าไว้ ใน หนังสือ ดาวค้างฟ้า มัณฑนา โมรากุล ว่า "...เป็นเพลงในภาพยนตร์ของ กรมตำรวจ เรื่อง ศาสนารักของนางโจร นำแสดงโดย ยอดยิ่ง สุวรรณาคร ไศลทิพย์ ตาปนานนท์ และ สุรสิทธิ์ สัตย์วงศ์...เพลงนี้ ดิฉันร้องเดี่ยวนำหมู่ทุกท่อน บันทึกเสียงกับ ห้างกมลสุโกศล ตราโคลัมเบีย ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ก่อนลาออกจาก กรมประชาสัมพันธ์ ไม่นานนัก..."