ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

อารยะขัดขืน

คำนี้เมื่อใช้กันใหม่ๆ ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร ต่อมาก็เห็นการประท้วงรัฐบาลแล้วเรียกว่านี่คืออารยะขัดขืน พอเข้าไปดูความหมายว่าคืออะไร ก็เลยรู้เลยว่า เราก็เป็นพวกอารยะขัดขืนทัศนคติสังคมมานานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องมีลูก10คนนี่ก็เป็นอารยะขัดขืน ที่เราเห็นว่ากฎของเราสูงกว่ากฎหรือทัศนคติสังคมเรื่องนี้ มาดูว่า

อารยะขัดขืนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรนะครับ  ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เล่าถึงประวัติศาสตร์ของ "อารยะขัดขืน" ว่า มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า "civil disobedience" แปลตามตัวคือ ประชาชนไม่เชื่อฟังรัฐหรือผู้มีอำนาจ จึงแสดงออกด้วยการไม่ปฏิบัติตามกฎกติกาต่างๆ ของรัฐ

โดยหนึ่งในต้นแบบที่สำคัญของ "อารยะขัดขืน" หรือที่บางคนเรียกว่า "ดื้อแพ่ง" คือ มหาตมะคานธี จาก
การต่อสู้ที่เรียกกันว่า "อหิงสา"   "จากประวัติศาสตร์ของการต่อสู้โดยอารยะขัดขืน จะพบว่าบางครั้งบางคราต้องละเมิดกฎหมาย เพราะกฎหมายนั้นมีความไม่เป็นธรรม นี่คือหัวใจ ฉะนั้นมาตรการของคุณสุเทพและพวก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องละเมิดกฎหมาย เพราะมองเห็นว่ากติกาของผู้มีอำนาจรัฐไม่เป็นธรรม แต่การกระทำของคุณสุเทพจะบรรลุผลหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป"

ผมก็เลยเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่ากฏหมายโลกเป็นคำตอบสุดท้ายของมนุษย์ชาติ แต่กฎหมายของพระเจ้าต่างหากที่เราจะต้องยึดเอาเป็นบรรทัดฐานในการสร้างมาตราฐานศีลธรรมและคุณธรรมของเรา ก็เลยดีใจว่าไม่ว่าทัศนคติของโลกจะเป็นอย่างไร ความถูกต้องและความชอบธรรมต้องยึดเอาพระคัมภีร์เป็นหลักแต่อย่างเดียว มิฉะนั้นใครอยากจะทำอะไร เปลี่ยนแปลงกฏหมายเพื่อคุณประโยชน์ส่วนตนก็ได้ตามใจชอบ แบบนี้ต้องมีการอารยะขัดขืนถึงจะอยู่ร่วมกันได้ครับ

ดังนั้นเรื่องมีลูก 10 คนยังไม่รวมลูกเขยลูกสะไภ้) นี้ผมจึงจะขออารยะขัดขืนจนถึงที่สุดครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น