ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

เดินอวยพรพี่น้องหมู่บ้านหนองบัว ท่าสองยาง แม่สอดตาก


เช้านี้ตื่นขึ้นมาที่หมู่บ้านหนองบัว บ้านอุสุ แม่สอด ตาก ได้กลิ่นแปลกๆที่คุ้นๆจมูกแต่นึกไม่ออกว่ามันเป็นกลิ่นอะไร รู้แต่ว่าเคยได้กลิ่นนี้นานมากแล้วนึกยังไงก็นึกไม่ออก เอ…..ทำไมเราแก่ลงมากหรือยังไงที่นึกไม่ออก 

เมื่อวานนี้ออกจากปากช่องเที่ยงครึ่งเกือบบ่ายโมง ต้องรีบเข้ากรุงเทพฯเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมืองให้ทันก่อนบ่ายสี่โมงเย็น คุณคำนึงซื้อตั๋วเครื่องบินให้ เพื่อจะไปร่วมพิธีเทศกาลวันอิสเตอร์กับพี่น้องปอกอหยอห์ที่บ้านหนองบัว อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก 

ต้องนั่งรถตู้จากปากช่องไปกรุงเทพฯ พอดีเป็นวันที่ 17 เมย.ก็ยังมีคนเดินทางกลับไปกรุงเทพฯเยอะพอสมควร บอกคนขับว่าจะต้องไปขึ้นเครื่องก่อนสี่โมงจะทันไหม คนขับรถก็บอกว่า "ทัน ป๋าสบายใจได้.."เพื่อนๆของเขายิ้มหัวเราะกันใหญ่ เราก็รู้สึกว่ามันชักจะแปลกๆยังไงชอบกล พ่อเจ้าประคุณท่านคนขับก็ขับได้รวดเร็วทันใจ ตลอดเส้นทางพี่ท่านแซงซ้ายแซงขวา ปาดหน้าปาดหลัง ต้องปวดขาคอยเหยียบเบรคของเราและอธิษฐานในพระวิญญาณไปตลอดทางแต่ก็เชื่อว่ายังไม่ใช่เวลาจะไปอยู่กับพระเจ้าในสภาพเช่นนี้ 

เราว่าเราขับเร็วแล้วแต่วันนี้ยกให้พี่ท่านเลยครับ แกคุยไปได้ตลอดทาง..เออก็ดีกว่าหลับใน ฟังแกคุยเพลินเผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้มาตื่นเอาตอนแกแวะจอดเติมแก๊ส ไล่ให้พวกเราคนโดยสารไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำปัสสะวะทานข้าวกันสัก 10 นาที ผู้โดยสารก็ไม่รีรอละครับ ลงรถได้ก็ตัวใครตัวมันตัวเผือกละครับ รีบไปเข้าห้องน้ำกันก่อนไม่ใช่ไปดื่มน้ำปัสะสวะนะครับ ขออภัยเขียนติดกันไปหน่อย ก็ลงไปหาอะไรทานสักหน่อยเพราะตอนออกจากปากช่องก็ไม่ได้ทานอะไร เห็นคนขับมานาข้าวด้วยก็เลยซื้อโอเลี้ยงให้แกแก้วหนึ่ง จากนั้นเมื่อเสร็จกันเรียบร้อยแล้วจากนั้นพี่ท่านก็ตะเบงเครื่องห้อเข้ากทม.ถึงดอนเมืองบ่ายสามโมงเลยไปนิดๆ แล้วยังมีหันหน้าทะเล้นมาถามเราอีกว่า"ป๋าว่าไง รวดเร็วทันใจไหมป๋า" เราก็นึกในใจว่าจะขอบใจมันหรือจะด่ามันดี อย่างน้อยมันก็ทำเวลาให้เราได้พอดี เราก็ได้แต่พยักหน้ากึกๆแล้วยิ้มให้มัน เอาไว้ให้มันไปแปลเอาเองว่าเราขอบใจหรือว่าชาตินี้ที่รักเราคงพบกันไม่ได้

บ่ายสามโมงครึ่งเมื่อเราเอาตั๋วให้เจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง จากนั้นก็เดินไปขึ้นเครื่อง บรรยากาศเก่าๆของสนามบินดอนเมืองก็ยังพอเหลือเค้าให้เราเห็นความสัมพันธ์ของเรากับดอนเมืองในอดีต พอที่จะชื่นใจผลุดรอดขึ้นมาในใจได้อยู่บ้าง แล้วก็แอบดีใจที่ดอนเมืองกลับมาใช้อีก อยากจะเห็นสถานที่เก่าๆเช่นนี้รื้อฟื้นกลับมาใช้ใหม่ เพราะถ้าเรามีความรู้สึกเช่นนี้ แน่นอนเลยล่ะ คงจะมีผู้โดยสารนับจำนวนไม่หวาดไม่ไหวที่เคยผ่านสนามบินดอนเมืองและยังจำสิ่งที่ดีๆอย่างเรานี่อีกเยอะแน่ๆ คงจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาที่ดอนเมืองอีกเป็นแน่

ระหว่างเดินไปประตูที่จะขึ้นเครื่องบินก็เห็นร้านรวงปลอดภาษีหรือเปล่าก็ไมรู้เพราะไม่ได้เข้าไปดูได้แต่มองผ่านๆ มีร้านอาหารประเภทฟาดแหลกอยู่หลายร้าน พอดีเราจัดการที่ปั๊มแก๊สมาเรียบร้อยแล้วเห็นราคาแต่ละอย่างก็รู้ว่าเขารวมค่าเช่าสถานที่สนามบินเข้าไปด้วยแน่ๆก็เลยอดได้เงินจากเรา

ประตูที่ 72 ที่จะมีรถบัสเล็กเอาพวกเราไปขึ้นเครื่องบินอยู่สุดอาคารเลยทีเดียว ถ้าเป็นคนแก่คนเฒ่าต้องอาศัยรถบริการในตัวอาคารไปส่ง พอดีเรายังไม่แก่พอเลยหมดสิทธิ์ใช้บริการ

เราต้องเดินลงบันใดเลื่อนลงไปชั้นใต้ดินอีกทีก็จะถึงห้องพักรอที่ๆเราจะขึ้นรถไปขึ้นเครื่อง พอถึงเวลาตรงเป๊ะพวกเราก็พากันขึ้นรถเมล์เล็กไปขึ้นเครื่องบินที่จอดไม่ไกลจากตัวอาคาร มองเห็นสายการบินนกแอร์ลำที่..........จอดคอยท่ารอเราอยู่แล้ว มีผู้โดยสารที่ไปด้วยกัน 40-50 คนเห็นจะได้
หลังจากหาที่นั่งเรียบร้อยพอดีที่ของเราว่างก็เลยนั่งไปคนเดียวเบาะสองตัวสบายๆ สักครู่ก็เหมือนขึ้นเครื่องบินทั่วไปที่กัปตันจะบอกว่า ตอนนี้เราบินสูงเท่านั้นเท่านี้จะมีพนักงานมาจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มีอาหารและน้ำดิ่มแจกฟรีด้วยและมีที่ขายด้วย บริการประทับใจครับ

นั่งพอจะเคลิ้มๆกัปตันก็แจ้งให้เราว่าจะลดระดับบินเพื่อลงจอดสนามบินแม่สอดแล้ว รวดเร็วทันใจมาก พอลงจากเครื่องไปตัวอาคารก็ไม่ไกลนักเห็นสุพรรณ คำนึง อ.เชิดศักดิ์ น้องมิ้นลูกสาวคำนึงและอ.แรนดี้ มารอรับที่สนามบินแล้ว จริงๆแล้วคำนึงออกเดินทางมาตั้งแต่เมื่อวานก่อนนั้นแล้วแล้วก็มาคอยที่แม่สอด คุณก้องกับคุณแม่และอ.ก็มารับด้วย คุณก้องก็พาไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารสุดยอดของแม่สอด เพราะร้านนี้มีชื่อเสียงดังของที่นี่ ปรากฏว่าขายดีจนเมนูที่เราสั่งหมดไปเสียส่วนมาก อะไรก็หมดๆ ก็เลยสั่งว่าเอาเท่าที่คุณมีก็แล้วกันก็เลยได้ทานกันอิ่มหนำสำราญใจขอบใจน้องก้องเป็นอย่างมากที่ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราเป็นอย่างมาก

ก็เหลือพวกเราที่จะต้องเดินทางกันละ อ.เชิดไปกับสุพรรณ คำนึง น้องมิ้นและเราไปด้วยกัน อ.แรนดี้ก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกใหม่ก็คุยสนุกดี พอไปไกลมากเข้าเสียงก็เงียบลงเบาลง ยิ่งผ่านด่านตรวจคนตามชายแดนก็ชักจะยังไงกัน ก็เลยบอกแกว่าไม่มีอะไรหรอก ครอบครัวเราเคยมาที่นี่เส้นทางแถวๆนี้เมื่อ 30 ปีมาแล้ว ตอนนี้เจริญมาก









อ.สุพรรณพาเข้าไปหมู่บ้านซึ่งแยกซ้ายจากถนนใหญ่ไปอีก10กว่า กม. ไปถึงมีพี่น้อง ชาวบ้าน ศิษย์เก่ามาคอยต้อนรับอย่างอบอุ่นใจ ศิษย์เก่าประพันธ์ไม่ได้เจอะหน้าหลายปีก็มาคอยต้อนรับ ดีใจมากที่ได้พบหน้า นั่งคุยกันสักพักต่างก็ขอตัวเข้านอน บ้านสุพรรณปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเยอะมาก มีห้องน้ำห้องท่าจัดเตรียมต้อนรับแขกเป็นอย่างดี ไปครั้งนี้สบายกว่าเดิมเยอะมาก

ตื่นเช้ามาก็ได้กลิ่นแปลกๆแต่คุ้นจมูก ก็ออกไปดูว่ามาจากไหนเห็นเด็กหญิงสองคนทำอาหารกันในห้องครัว กลิ่นออกมาจากห้องครัวนี้เองที่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน

สักพักหนึ่งสุพรรณก็พาเราไปที่คริสตจักรพี่น้องพร้อมจะนมัสการพระเจ้ารอท่าเราอยู่ พวกเราที่ไปด้วยกันก็กล่าวคำทักทายและแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าพอสมควร พี่น้องตั้งใจฟังชนิดใจจดจ่อกันทั้งนั้น
เราไม่เลิกเขาก็นั่งฟังกันได้ตลอด นี่เป็นความหิวกระหายในพระวจนะของพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่นี่ บางคนเดินทางมาด้วยเท้า2-3กว่าจะมาถึง สุดยอดของความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าจริงๆครับ


บ่ายวันนั้นเราออกไปเยี่ยมบ้านประพันธ์ ลูกศิษย์ที่รับใช้พระเจ้าที่บ้านแม่ต้านกับภรรยาราตรี ก็ได้ไปอธิษฐานเผื่องานของพระเจ้าที่นั่นด้วย

จากนั้นก็กลับมาเทศนาฟื้นฟูกับพี่น้องที่คริสตจักรกันต่อจนถึง3-4ทุ่ม พี่น้องก็ขึ้นภูเขาไปอธิษฐานโต้รุ่งกันต่อ

พอรุ่งเช้าเราทุกคนอดอาหารอธิษฐานกันทั้งวันจนถึง 4 โมงเย็น จึงค่อยลงมาจากภูเขา เป็นประสบการณ์อะไรที่จะลืมได้ยากที่ได้ไปภูเขาอธิษฐานนี้ ภรรยาสุพรรณขับรถยนต์ไปส่งเราที่ทางขึ้นภูเขา จากนั้นเราต้องเดินขึ้นไปเอง ไม่ได้เดินขึ้นภูเขาแบบนี้มาเป็นปีๆแล้วในใจก็นึกโมโหสุพรรณว่าทำไมต้องให้เรามาลำบากลำบนอย่างนี้




แต่เมื่อนึกถึงอ.จอลิ ท่านอายุ 75 ปีแล้ว ท่านยังขึ้นไปได้ ก็ใจแข็งอดทนเอา ถ้าตายบนนี้ก็ขอให้ฝั่งบนนี้เลยไม่ต้องลำบากแบกกันลงไปอีก ก็นึกในใจอย่างนี้ ขึ้นไปทุก 3-4 ก้าวเราต้องหยุดพักเอาแรง แต่พอไปถึงแล้ว เห็นพี่น้องต้อนรับเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ความเหน็ดเหนื่อยก็หายไปหมดสิ้น 
  

อธิษฐานแบ่งปันกับพี่น้องจนถึงบ่าย4โมงเย็นเราก็ค่อยลงมา พี่น้องเหล่านี้เป็นนักอธิษฐานจริงๆ ที่ภูเขาอธิษฐานนี้ถูกป่าไม้มาไล่หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้ารื้อทำลาย เคยมีคนมาเผาป่าใกล้ศาลาอธิษฐานในวันอาทิตย์ แต่พระเจ้าก็บอกให้ผู้นำรีบขึ้นไปภูเขาเดี๋ยวนี้ ก็ไปทันดับไฟก่อนจะไหม้ศาลา ไม่นานคนที่เผาป่าคนนั้นก็ล้มป่วยหนักแต่ไม่ถึงตาย จากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้ารบกวนยุ่งเกี่ยวกับภูเขาอธิษฐานนี้อีกเลย พอใกล้จะถึงเวลา4โมงเกือบจะเสร็จการอธิษฐาน มีพี่น้องผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขึ้นบนบ้านอธิษฐานพลาดยังไงไม่ทราบ หัวฟาดพื้นชักตาค้าง หมดสติ พวกเราต้องรีบอธิษฐานกันใหญ่ คงจะเป็นลม เพราะทั้งอธิษฐานโต้รุ่ง อดอาหารทั้งวัน ร้อนก็ร้อน แต่ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีก ทำเอาพวกเราใจหายใจคว่ำนึกว่าวัยชัยชนะจะเป็นวันพ่ายแพ้แก่มารเสียอีก แต่ชัยชนะก็เป็นของพระเยซูเช่นเคย ฮาเลลูยาห์
ขาลงเสธคำนึงกับศบ.เชิดศักดิ์นำพี่น้องลงภูเขาอย่างคล่องแคล่วเชียวหล่ะ ผิดกับขาขึ้นหน้ามือเป็นหลังมือ 

  
 
พอไปถึงที่บ้านพักอ.สุพรรณ กลิ่นคุ้นเคยโชยเข้าจมูกอย่างจัง ไม่ใช่กลิ่นตอนเช้าครับ เป็นกลิ่นเค็กกับขนมปังโฮมเมดครับ คุณสมศรี ศรีภรรยาอ.สุพรรณทำไว้รอท่าเราครับ เมื่อช่วงคืนสู่เหย้าเขาได้ไปเรียนกับอ.ดอนมาและทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนครูของเขาเลยครับ อ.ทัศน์รับรองความอร่อยเลยครับ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้อดอาหารกันมา โดยเฉพาะอ.แรนดี้ที่ไปด้วยกันกับเรา จัดการเสีย5อัน ไล่เลี่ยกับอ.ทัศน์ โดยที่ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงเลยครับ
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ อ.จอลิ ก็เชิญไปทานอาหารที่บ้านของท่านต่อ พี่น้องที่นี่จะถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราไปทาอาหารบ้านของเขา เขาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีครับอาหารเพรียบ
คืนนั้นทีมผู้รับใช้ก็ร่วมใจกันแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างสุดเล่มเกวียนเลยครับ ต้องนมัสการกันข้างนอก พี่น้องมาร่วมกันเยอะมาก

เช้าวันอาทิตย์พี่น้องไปอธิษฐานแต่เช้าตรู่ที่คริสตจักร ต้อนรับวันอิสเตอร์ วันเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา สายๆ7โมงเช้า พวกเราก็ออกไปเข้าแถวเตรียมเดินขบวนไม่ประท้วงใครแต่จะเดินอวยพระพรหมู่บ้าน อธิษฐานเผื่อหมู่บ้านและประเทศไทยเดินตอนเช้าๆค่อยยังชั่วหน่อย ราวๆ2-3 กม.แต่ชุดศาสนาจารย์นี่สิ เอาเหงื่อซกเลยเชียว ไม่ได้เอาของตัวเองไปก็ยืมของอ.สุพรรณใส่ เขาให้ทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นขอให้พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกย่องและข่าวประเสริฐประกาศแพร่ออกไปครับ 

หมู่บ้านหนองบัวนี้สุดเขตประเทศไทยเลยครับ กลับมาก็พักสักนิดแล้วก็เทศนาต่อ จากนั้นไปทานอาหารแล้วก็เตรียมตัวไปบัพติสมาพี่น้องลูกหลานที่รับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 45 คน
บรรยากาศในการบัพติสมาในแม่น้ำเมยของพี่น้องในวันนั้น ประกาศให้พี่น้องในหมู่บ้านนั้นถึงข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ บางคนหายโรคอย่างอัศจรรย์ บางคนมีชีวิตใหม่ บางคนได้รับการสัมผัสจากพระเจ้าด้วยวิธีหลายๆรูปแบบและได้เข้ามารับบัพติสมา
ในปีนี้ที่แม่น้ำเมย สายน้ำมหัศจรรย์ที่ไหลย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือแทนที่จะไหลลงใต้ เสร็จจากบัพติสมาพี่น้องเสร็จเราก็ต้องรีบเดินทางกลับบ้านเพราะยังมีงานค่ายคอยท่าเราอีกครับ ออกจากบ้านหนองบัวไปแวะทานข้าวกับพี่น้องที่ลพบุรีสักพักใหญ่ก่อนจะถึง โมริยาห์ก็เที่ยงคืนกว่าๆ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกๆสิ่งครับ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น