ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ทำไมเด็กอยู่ไม่สุข(ADHD): และสิ่งที่เราสามารถจัดการแก้ไขได้

ทำไมเด็กอยู่ไม่สุข(ADHD): และสิ่งที่เราสามารถจัดการแก้ไขได้

มีคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เปิดใจของเธอผ่านทางโทรศัพท์กับผม เธอบ่นว่าลูกชายอายุหกขวบของเธอไม่สามารถที่จะนั่งนิ่งๆตามปกติอยู่ในห้องเรียนเหมือนเด็กคนอิ่นๆ

ทางโรงเรียนต้องการที่จะตรวจสุขภาพของเขาสำหรับการเป็นเด็กสมาธิสั้น (ขาดดุลความสนใจและความผิดปกติ hyperactivity) มันเป็นเรื่องที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นนักกิจกรรมบำบัดเด็ก ผมสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ค่อนข้างพบบ่อยมากๆในเวลานี้

คุณแม่ท่านนี้ได้อธิบายวิธีการที่ลูกชายของเธอกลับมาบ้านทุกวันด้วยใบรายงานจากคุณครูว่าพฤติกรรมของลูกชายพอใช้ ในขณะที่เด็กคนอื่นมีพฤติกรรมที่ดี

ทุกวันลูกชายของเธอคนนี้ได้รับการเตือนว่าพฤติกรรมของเขาแย่ลง เพียงเพราะเขาไม่สามารถนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานานๆ

แม่เริ่มร้องไห้ “ตอนนี้เขาเริ่มที่จะชอบพูดว่า" ฉันเกลียดตัวเอง 'และ' ฉันไม่มีอะไรดีเลย. “ ความมั่นใจในตนเองของเขาดิ่งด่ำลงเพียงเพราะเขาควบคุมตัวเองให้อยู่นิ่งๆไม่ได้เท่านั้น

กว่าทศวรรษที่ผ่านมามีเด็กที่เป็นเช่นนี้มากขึ้นไปเรื่อยๆและมีการพบว่ามีปัญหาความสนใจและสมาธิสั้น(ADHD)

ครูประถมศึกษาในท้องถิ่นบอกผมว่าอย่างน้อยลูกศิษย์แปดคนในนักเรียนยี่สิบสองคนของเธอมีปัญหาในการตั้งใจฟัง ในบางครั้งคุณครูก็บังคับให้เด็กนั่งนิ่งๆนานเป็นเวลา สามสิบนาทีที่มันเป็นสิ่งที่ทรมานสำหรับเขาเป็นอย่างยิ่ง

ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ จะเห็นว่ายุคเวลานี้ มีเด็กออกวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ ถีบจักรยาน ปีนป่ายต้นไม้ เล่นชิงช้า ว่ายน้ำ ดังที่เคยเป็นในอดีตน้อยลง เวลาว่างเหล่านี้ได้ถูกกดดันด้วยการทำการบ้าน เล่นเกมส์ อินเตอร์เนท ผู้ปกครองกลัวที่ปล่อยลูกออกไปนอกบ้าน ยุ่งอยู่กับการทำงาน ฯลฯ

สรุปก็คือเด็กมีเวลาทำกิจกรรมนอกบ้านน้อยลง นี่คือต้นตอของปัญหา

ผมได้รับการเชิญจากคุณครูโรงเรียนชั้นป.ห้า เพื่อไปสังเกตุการณ์ในห้องเรียนของเธอ ผมค่อยๆย่องเข้าไปเงียบๆแล้วนั่งด้านหลังห้อง ผมแปลกใจในสิ่งที่ผมเห็นในวันนั้น เป็นช่วงชั่วโมงสุดท้ายของวันนั้น คุณครูกำลังอ่านหนังสือให้เด็กๆฟัง เด็กบางคนเอนเก้าอี้นั่ง โยกไปข้างหลังอย่างน่ากลัวจะหงายหลัง บางคนโยกเก้าอี้ไปมาไม่นิ่ง บางคนเคี้ยวปลายดินสอเล่น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาขวดน้ำดื่มตีหัวตัวเองเป็นจังหวะ ผมไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลยและนี่เป็นโรงเรียนสำหรับปกติไม่ใช่โรงเรียนเด็กที่พิการอะไรเลย

จะบอกว่าเป็นช่วงก่อนเลิกเรียนก็ไม่ใช่ เพราะเราได้ตรวจสอบผลการเรียนของเด็กๆเหล่านี้เมื่อเทียบกับเด็กเมื่อสิบปีก่อนก็พบว่าในเด็กสิบสองคนจะมีเด็กที่มีทักษะการเคลื่นไหวร่างกายปกติเพียง คนเดียวเท่านั้น ผมตกใจกับผลที่เกิดขึ้นนี้ และเห็นว่าเราจะต้องรีบทำอะไรสักอย่างอย่างเร่งด่วนเลยละ

ไม่เพียงการเรียนของเด็กเหล่านี้จะตกลง ทักษะการเคลื่อนไหวของร่างกายก็แย่ลงไปด้วย การพัฒนาทักษะร่างกายจะต้องให้ร่างกายทุกส่วนเคลื่อนไหวไปทุกด้าน ไม่ใช่เพียงวิ่งออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งหรือนานๆทีก็ไปเล่นกีฬา การพัฒนาทักษะร่างกายต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างต่อเนี่องนานๆ

ดังนั้นเด็กๆเหล่านี้ที่ไปโรงเรียนในสภาพที่ร่างกายไม่พร้อมในการเรียนแล้วยิ่งไปให้เขานั่งนิ่งตั้งใจฟังก็เป็นเรื่องที่ยาก น่ารำคาญ ในที่สุดสมองก็ปิดการรับรู้ใดๆทั้งสิ้นและนี่แหละคือที่มาของการตกต่ำในการเรียน

บ้านจะต้องเริ่มหาทางแก้ใขให้เด็กๆเหล่านี้ทำกิจกรรมภายนอกมากขึ้น เพียงชั่วโมงเดียวหรือเคลื่อนไหวเพียงวันละยี่สิบนาทีไม่พอเพียงที่จะพัฒนาทักษะร่างกายของเด็กๆเลยยิ่งเด็กๆที่มีกิจกรรมภายนอกอยู่เสมอมากเท่าใด ก็จะมีการสร้างระบบประสาทที่มีสุขภาพดีขึ้นเท่านั้น

การที่จะให้เด็กเรียนรู้ได้ดีมีทักษะที่ถูกต้อง ตั้งใจฟัง มีสมาธิที่ดี เราต้องไม่ให้เขาอยู่นิ่งโดยไม่มีโอกาสสร้างกิจกรรมที่ดีสำหรับเขาให้พอเพียงแท้จริงเพียงห้ามให้อยู่นิ่งๆหรือไม่ทำอะไรไม่ใช่เป็นหนทางแก้ไขกูกจุดและที่ดีเลย

แปลและเรียบเรียงย่อๆโดย ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น