ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สะบัดมันออกไป

เหล่าสาวกมาบอกพระเยซูว่ามีหมู่บ้านที่ไม่ต้อนรับข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกให้สะบัดผงคลีดินออกจากเท้า (มก.6.11)

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้การถูกดูถูกดูหมิ้น คนกล่าวหากล่าวร้าย คนปฎิเสธไม่สนใจใยดี คุณมีสิ่งที่จะต้องเลือกเอาสองอย่างคือ การยอมรับคำเหล่านนั้นที่จะมาทำลายจิตใจตนเอง ทุกข์ใจ ท้อใจ ไม่มั่นใจ ตำหนิตนเอง หรือ คุณจะสะบัดถ้อยคำเหล่านั้นแล้วเดินหน้าต่อไป

พระเยซูไม่ได้หมายความถึงคนที่ปฎิเสธข่าวประเสริฐทุกคน เฉพาะคนเย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับฟังความจริง แต่มีคนที่ไม่เปิดใจแต่มีความจริงใจเพราะยังมีความกลัวอะไรหลายๆอย่างอยู่ คนเช่นนี้พระเยซูไม่เคยปฎิเสธเขา สักวันหนึ่งที่เขาเข้าใจเขาก็จะเปิดใจเอง หัวใจของความหมายสะบัดนี้ก็คือ พระองค์ไม่ต้องการให้อะไรมาเป็นอุปสรรค์กั้นขวางทางที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้คุณ

เมื่ออจ.เปาเผชิญกับเรือแตกและถูกงูพิษกัดมือ ท่านก็สะบัดงูพิษนั้นออกไปแล้วก็เทศนาข่าวประเสริฐต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่มีสิ่งร้ายใดๆเกิดขึ้นแก่ท่านเช่นกัน ผู้คนที่นั่นต่างอัศจรรย์ใจในฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกันที่เราก็จะต้องสะบัดคำยกยอปอปั้น คำชมเชยที่จะทำให้เราเหลิงหรือลืมตัวด้วยเช่นกัน และสะบัดถ้อยคำที่ทำให้เราท้อแท้ใจ ทำลายจิตใจเราลง

น้ำพระทัยของพระเจ้ามีสำหรับให้เราไปช่วยเหลือคนอื่นที่ต้องการการช่วยเหลือจากเรา แต่ถ้าเขาไม่ต้องการเราก็ไม่ต้องไปยัดเยียดให้เขา เราก็ไปหาคนอื่นต่อไปที่เขาต้องการเราหรือเห็นคุณค่าของข่าวประเสริฐ

สิ่งสำคัญจำไว้เสมอครับว่า เขาไม่ได้ปฎิเสธคุณแต่ปฎิเสธผู้ที่ใช้คุณมา ถ้าคุณเข้าใจเรื่องนี้ สันติสุขและความมั่นใจของคุณจะยังคงอยู่ต่อไปครับ (ยน.13.20) ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกๆท่าน

ความกลัวเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน

จริงๆแล้วคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความมั่นใจสูง รู้จักรสชาติของมันดีครับ ที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้นั้นก็คือเขารู้จักที่จะปฎิเสธมัน ไม่กลัวมันอีกต่อไป พวกเขารู้ว่าถ้ายอมให้ความกลัวเข้ามาคืบหนึ่งมันจะเอาศอกเอาวา แล้วในที่สุดชีวิตจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของความกลัวครับ
1ยอห์นบทที่4ข้อที่18ได้บอกว่าในความรักนั้นไม่มีความกลัวเพราะ
ความรักที่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์นั้น ได้ไล่ความกลัวออกไปหมดแล้ว ความกลัวนั้นเกี่ยวกับการถูกลงโทษ และคนที่ยังกลัวการถูกลงโทษก็เพราะความรักนั้นยังไม่สำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในคนๆนั้น
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเยล ได้พบว่าคนป่วยโรคประสาทที่โดนไฟฟ้าช็อทนั้นมีระดับความกลัวเท่ากับความวิตกกังวลของคนที่ทั่วไป อธิบายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความวิตกกังวลของเรานั้นจริงๆมันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่มันมีผลเท่ากับคนโรคจิตถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าช็อทเลย ปกติคนที่เป็นโรคจิตโรคประสาทไม่รู้ดีรู้สึกร้าย ไม่รู้สึกกลัวอะไร ต้องใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้เกิดความกลัว จึงจะเชื่อฟังหรือยอมเชื่อฟัง
เช่นเดียวกันกับคนปกติธรรมดา ทุกครั้งที่เราเกิดความวิตกความกลัว ทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นเพียงเรากลัวไปเอง ผลร้ายของมันก็ได้เกิดขึ้นร้ายแรงรุ่นแรงเสมือนมันได้เกิดขึ้นไปแล้ว
งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งได้บอกว่า ความวิตกกังวลและความกลัวของคนเราเกิดขึ้นได้โดยผ่านการเรียนรู้การสื่อสาร ตอนที่ลูกๆของเรายังเล็กๆอยู่มีนักศึกษาถามลูกๆว่ากลัวผีตาโบ๋ไหม ลูกๆก็ถามว่าอะไรเหรอพี่ผีตาโบ๋ ลูกๆไม่เคยรับการสื่อสารในบ้านเราให้กลัวผีตาโบ๋ จนกว่าที่ใครมาสอนเขาให้กลัวความกลัวก็จะเกิดขึ้น หมายความว่าสมองของเราจะไม่รู้ไม่ทราบความแตกต่างระหว่างความกลัวจริงหรือไม่จริงหรือจินตนาการ จนกว่าจะมีการเรียนรู้ถ่ายทอดสอนให้รู้จักเสียก่อนจึงจะเกิดขึ้น
สถาบันสุขภาพจิตมีการรายงานของผู้ป่วยโรคจิตที่มาจากความวิตกกังวลสูงมากแต่ละปี ไม่เลือกหน้าว่าจะเป็น คนมั่งมีศรีสุข หรือยากจนข่นแค้นต่างก็มีผลได้เช่นเดียวกัน คนปกติกลัวการถูกปล้นได้เช่นเดียวกัน เท่ากับคนที่ถูกปล้นเพราะพลังสมองของคนเรามีศักยภาพเช่นเดียวกัน สมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างถูกปล้นหรือกลัวถูกปล้นแต่มีอำนาจในการทำลายเท่ากัน จึงไม่แปลกใจที่คนดีๆแต่สุขภาพจิตแย่
ก็เพราะเหตุนี้แหละ นักจิตวิทยาจึงสรุปว่าความกลัวส่วนใหญ่เป็นเพียงเสมือนภาพลวงตา ที่จะรอดูว่าเราสนองตอบอย่างไร ถ้าเราเอาไปบอกไปเล่าให้ใครฟังภาพลวงตานั้นจะเลือนหายไปหรือถ้าเราเก็บเอาไว้มันก็จะเสมือนเป็นจริงทำลายในชีวิตของเราลงไปทุกๆวัน ดังนั้นในข้อพระคัมภีร์นี้ เราจึงต้องบอกความที่เรากลัวอะไรต่างๆนานาให้กับพระผู้เป็นเจ้าที่รักของเรานี้ทุกเรื่องที่ทำให้เรากลัว แล้วความกลัวเหล่านี้ก็จะเลือนหายไปในที่สุด
พระคัมภีร์ อิสยาห์บทที่ 26 ข้อที่3-4ใจแน่ว‍แน่นั้นพระ‍องค์ทรง‍รักษาไว้ในศานติ‍ภาพอันสม‌บูรณ์เพราะเขาวาง‍ใจในพระ‍องค์
ขอพระเจ้าเสริมกำลังทุกๆท่านนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ของดีไม่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆ


วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงาน รุจรีนั่งรอสามีของเธอกลับมาเพื่อทานอาหารเย็นด้วยกัน ตั้งแต่ทั้งสองกันมา ชีวิตหลังแต่งงานได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ก่อนแต่งงานพวกเขาหวานเจี้ยบแทบจะห่างจากกันไม่ได้ หลังแต่งงานแล้วก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันแทบทุกวัน บ่อยมากแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ และมัวแต่วุ่นอยู่แต่กับงานของตัว ไม่สนใจดูแลกันและกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมเย็นชาจืดชืดลงทุกวันๆ

วันนี้เธอต้องการจะดูว่าสามีเธอจะยังจำวันครบรอบแต่งงานได้มั๊ย เธอรอจนเย็น นานมากเข้าทุกทีเขาก็ยังไม่กลับบ้าน จนเริ่มมืดลงจนในที่สุด สามีเธอก็มาถึงตอนมืด เมื่อเปิดประตูไปรับ แม้ว่าสภาพของเขาจะดูแย่ แต่เขาก็ยังถือช่อดอกไม้สดใสมาให้เธอ ...... เค้ายังจำวันนั้นได้

ความสุขกลับมาอีกทั้งสองหยุดทะเลาะกัน และเริ่มทานอาหารด้วยกัน พวกเขาเปิดแชมเปญ เปิดเพลงเบาๆ วันนั้นอากาศดี มีฝนตกข้างนอก ทุกอย่างช่างลงตัวทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงลุกไปรับสาย เป็นเสียงผู้หญิง
"สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาลค่ะ นี้ใช่ภรรยาคุณดนัยหรือป่าวค่ะ"
"ใช่ค่ะ"
"คือดิฉันมีความเสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่า สามีของคุณได้เกิดอุบัติเหตุรถชนบ่ายนี้ เราได้พยายามช่วยเขาไว้จนถึงที่สุดแล้วค่ะแต่ก็ไม่ได้ เขาเสียชีวิตแล้วค่ะ เราได้ที่อยู่และเบอร์โทรนี้จากกระเป๋าเงินของสามีของคุณ และอยากให้คุณมาติดต่อที่โรงพยาบาลค่ะ"
หัวใจของเธอหล่นวูบ เธอตกใจอย่างมาก
"แต่...แต่สามีของฉันเขาอยู่กับฉันที่นี่ ตอนนี้นะ"
"เสียใจด้วยค่ะ แต่เขาถูกรถชนบ่ายนี้ขณะที่เขากำลังรีบวิ่งข้ามถนนที่หน้าร้านดอกไม้ค่ะ"
รุจรีรู้สึกคล้ายหมดสติ เรื่องนี้มันเกิดได้อย่างไร
เธอเคยได้ยินเรื่องของวิญญานหลังตายที่ตายอย่างกะทันหันผู้ตายจะกลับไปหาคนที่รักอีกครั้งก่อนที่จะจากไป เธอจึงวิ่งกลับไปที่ทั้งสองนั่งทานอาหารอยู่ ไม่มีเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ!!!
โอ้ว .....เขาได้จากเธอไปแล้วจริงๆ เธอเริ่มคิดถึงเขา คิดถึงความรัก ความดีที่เขาเคยทำให้เธอ เธอเสียใจมาก อยากได้โอกาสให้กลับมาอีกสักครั้ง เธอจะไม่ทะเลาะ เธอจะไม่
มัวแต่ทำงานตัวเอง เธอจะเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกันให้มาก เธออยากจะขอโทษในหลายอย่าง แต่เธอคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เธอเริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาดังๆ และกลิ้งตัวไปมาบนพื้น เธอหมดโอกาสแล้ว.....ทันใดนั้นมีเสียงกุ๊กๆกั๊กๆออกมาจากในห้องน้ำ ประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วสามีเธอก็เดิน
ออกมาและพูดว่า
"ที่รักจ๊ะ ผมไปอาบน้ำอยู่ เรามาทานอาหารกันต่อเถอะ ผมยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังเลยว่าวันนี้ตอนบ่ายผมโดนล้วงกระเป๋าที่หน้าร้านดอกไม้ ...."


วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นั่งบนเครื่องเรื่องง่ายๆ

ต้องบอกไว้สักนิดนะครับ สาเหตุที่เขียนเรื่องราวเหล่านี้ ผมนำเอาไปออกอากาศในรายการความรู้คือประทีป ทางสถานีวิทยุชุมชนยอดคน 92.00 เอฟเอ็ม คลื่นวิทยุคริสเตียนที่ไม่มีการโฆษณานอกจากความรัก ความรอด และความสุขจากองค์พระผู้ทรงสร้างของมวลมนุษย์ชาติ มีผู้ใหญ่ใจดีทั้งคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียนให้กำลังใจทุกๆวันครับ ดังนั้นต้องขออภัยบางเรื่องมันสัพเพเหระไปบ้าง แต่บริบททั้งหมดก็คือการเรียนรู้ที่จะเผชิญชีวิตตามความเป็นจริงของทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเดินดิน บินบนฟ้า ก็จะเอามาเล่าสู่ครอบครัว 92.00 ฟังครับ เผื่อว่าสักวันหนึ่งอาจจะได้มีโอกาสพาท่านๆเหล่านี้ขึ้นเครื่องบินดูบ้างน่าจะสนุกดีครับ ผมเคยพาลูกศิษย์แถวๆหลังดอยอินทนนท์ไปต่างประเทศ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ลูกศิษย์เหล่านี้จำไว้ตลอดชีวิตของเขาเลยครับ เดี๋ยวพูดไปก็เรื่อยๆจะเอามาเล่าให้ฟังครับ

 


เอาละครับ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ผมหมายถึงการตรวจเช็คเอกสารต่างๆครบถ้วน การจองตั๋วการกำหนดเส้นทางที่จะไปต่อเครื่องเปลี่ยนเครื่องที่ไหนอย่างแล้วไร ฯลฯชัดเจนดีแล้ว ตอนนี้ก็รอวันเดินทาง จะนัดหมายเพื่อนฝูงญาติพี่น้องเลี้ยงส่งอำลาอาลัยอะไรกันก็รีบทำรีบสั่งเสียกันให้หมด(คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นครับ555) ใครที่อยู่ไกลสนามบินอย่างผมนี่อยู่ที่บ้านวังสีสด ปากช่อง ก็ต้องเผื่อการเดินทางไว้เยอะๆสักสามสี่ชั่วโมงล่วงหน้าก่อนออกเดินทางเลยละครับ

ที่นี้ก็ขอเตือนไว้ก่อนสำหรับการแต่งกาย ต้องง่ายๆสะดวกสบายที่สุดแต่ไม่ต้องถึงกับสบายจนไม่สุภาพนะครับ ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะต้องไปเข้าคิวเข้าแถวยื่นตั๋วยื่นบัตรเข้าบัตรออกกันเป็นเรื่องยาวเลยละครับ ไม่ต้องกลัวครับขนาดคุณทวดอายุ 106 ชาวเนปาลแกยังขึ้นเครื่องบินนั่งริมหน้าต่างเสียด้วยครับ ลงเครื่องต้องหิ้วปีกกันเลยครับ


รองเท้า เสื้อผ้าก็เอาไว้ให้พอเหมาะพอควรไม่ต้องหรูหรามากมายครับ เวลาถ่ายรูปเอาลงเฟสลงไลน์จะได้ดูสวยดูหล่อหน่อยก็พอแล้วครับ

 ช้าวของที่จะเอาไปด้วยยิ่งน้อยยิ่งดี สมัยก่อนไม่รู้ครับ ขนกันไปเป็นกระเป๋าๆ พะรุงพะรังเลยครับ มันเป็นภาระมากครับ ผมไปครั้งนี้มีเป้ใบหนึ่ง กระเป๋าส่วนตัวอีกใบหนึ่งแค่นี้ครับ จะเอาอะไรไปฝากเขา ทางโน้นก็มีหมดแล้วครับไม่เหมือนเมื่อก่อนต้องเอาโน่นเอานี่ไปฝาก เพราะมันหายากไม่มีขาย แต่เดี๋ยวนี้ทางอเมริกามีอาหารไทยเครื่องเทศครบหมดทุกอย่างเลยครับ เผลอๆดีกว่าบ้านเราเสียอีกครับ แต่ก็ไม่ถึงกับใจดำจนเกินไปก็หาของระลึกเล็กๆน้อยติดไม้ติดมือไปก็ได้ครับ



นี่แหละครับสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินของเราก็สวยไม่น้อยหน้าใครครับ คนเยอะครับ ยิ่งเทศกาลสำคัญๆแล้วละก้อมึนเลยครับ


ยื่นตั๋วเอกสารอะไรให้เรียบร้อยก็จะออกนอกประเทศ ก็ต้องไปผ่านกองตรวจคนออกนอกประเทศ เข้าประเทศมาก็เป็นกองตรวจคนเข้าเมืองหรือที่เขาเรียกว่า ตม.นั่นแหละครับจากนั้นก็ไปหาประตูที่เครื่องบินมารอรับเรา บางที่ก็เดินเข้าเครื่องไปได้เลย บางแห่งก็มีรถมารับไปส่งขึ้นเครื่องครับ


เข้าไปในเครื่องก็เป็นอย่างนี้ครับ หาดูตำแหน่งที่นั่งของเรา เริ่มต้นก็ชั้นหนึ่ง ชั้นนักธุรกิจอย่าเผลอไปนั่งที่สวยสะดวกสบายนะครับ เหมาะสำหรับคนที่เขาไปถึงก็ลุยงานทันทีหรือคนป่วยสุขภาพไม่ค่อยจะดีอะไรอย่างนั้นครับ ถ้าเราไม่รีบร้อนอะไรไปขั้นประหยัดนี่แหละครับมันก็ไปถึงเหมือนกันครับ ลำเดียวกันครับแต่ถ้าคนอ้วนมากๆก็อาจจะลำบากหน่อยครับ


เขาให้เอากระเป๋าส่วนตัวบางส่วนขึ้นเครื่องได้ ห้องเก็บก็อยู่บนศรีษะเรานั่นแหละครับ ระวังอย่าให้หล่นตกใส่หัวคนข้างล่างก็แล้วกันครับ จากนั้นก็นั่งรัดเข็มขัด สักพักพนักงานสายการบินก็จะมาสาธิตการรัดเข็มขัดเครื่องช่วยหายใจกรณีฉุกเฉิน ทางหนีไฟ ประตูทางออก ห้องน้ำหน้องท่า ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรผมสังเกตุดูว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครสนใจฟังการอธิบายสักเท่าไหร่ ถ้าพอเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆที่นี้ละครับวุ่นวายกันไปหมดครับ




ที่นั่งจะมีปุ่มสารพัดอย่าไปเที่ยวกดโน่นกดนี่เหมือนลูกศิษย์ที่ผมพาขึ้นเครื่องนะครับ ท่านกดโน่นกดนี่ พนักงานต้องคอยเดินมาถามอยู่เรื่อยๆว่าต้องการอะไรค่ะ แกไม่รู้ไปกดปุ่มเรียกพนักงานมาหาครับ แล้วบอกว่าไม่มีอะไรครับแล้วก็หัวร่อคิกๆคักๆกันใหญ่ผมต้องคอยห้ามไม่ไห้ไปกดอะไร


ห้องน้ำเล็กๆ เขาห้ามแอบไปสูบบุหรี่ในนั้นครับ













อาหารก็ง่ายๆเอาแค่พออิ่มก็พอแล้วครับ

จากนั้นจะดูหนังดูละครที่เขาติดตั้งมาก็ได้ครับหรือจะหลับจะงีบ เพราะต้องใช้เวลาบนเครื่องบินอย่างนี้อีกหลายชั่วโมงก่อนจะไปถึงจุดหมายหรือเปลี่ยนเครื่องกันอีกทีครับ ของผมทั้งหมดตั้งแต่ออกจากบ้านไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน ไปรอเปลียนเครื่องที่จีนแล้วถึงที่หมายปลายทาง.ใช้เวลา2 วันครับ







รูปภาพทั้งหมดในนี้นำมาจากหลายๆแหล่ง ขอบคุณทุกๆท่านครับ







วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จองตั๋วแบบประหยัดๆ

จองตั๋วเครื่องบิน
แม้ว่าลูกๆช่วยกันออกเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้พ่อแม่ไปเมืองนอกก็ตาม เราก็ใช้เงินนั้นอย่างประหยัดครับ แต่ประหยัดมากก็ยุ่งยากมากเช่นกันครับ เงินแต่บาทแต่ละสตางค์ไม่ใช่หากันมาง่ายๆ สงสารลูกๆจังเลยครับ ดังนั้นขอแนะนำสำหรับการจองตั๋วไปเมืองนอกนะครับ
1.เมื่อค้นหาบริษัท์ขายตั๋วให้ใช้ incognito เพราะถ้าบริษัท์ขายตั๋วเห็นตารางเวลาเดินทางของเราจะเพิ่มราคาขึ้นทันทีครับ
2.เช็คให้แน่ใจว่าบริษัท์นั้นมีตัวตนถูกต้องจริงๆ ไม่โดนหลอก ไปครั้งนี้เราซื้อของสายการบิน south china airline ใช้ได้ครับตามราคาไม่ลำบากอะไรเลยครับสบายๆ
3.ส่วนใหญ่ตั๋วราคาถูกจะเป็นของจีนแผ่นดินใหญ่ มีจีนใต้หวันและเกาหลี ที่มีตั๋วราคาถูก แต่เรื่องความสะดวกสบายไม่เหมือนกันนะครับ ของจีนแผ่นดินใหญ่บางสนามบินดี บางแห่งเล็กแคบลำบากครับ ใต้หวันกับเกาหลีก็โอเคครับแต่แพงกว่าจีนแผ่นดินใหญ่
4.สนามบินจีนส่วนใหญ่จะมีน้ำร้อนให้ใช้ ถ้าเตรียมแก้วน้ำหรือมาม่าไปก็ใช้ได้เลยครับ ส่วนใหญ่ที่สนามบินเหล่านี้อาหารแพงหาทานยากครับ เตรียมไว้ก็ดีครับประหยัดเงิน
5.ดูเวลาช่วงคอยเปลี่ยนเครื่องด้วยนะครับ เผื่อเวลาไว้หน่อยครับคนเยอะมากครับแต่ก็ไม่ต้องกลัวครับคนจีนตอนนี้มีมารยาทขึ้นเยอะครับ ห้องน้ำห้องท่าก็สะอาดครับ ผมมีเวลาว่างที่นั่นเยอะมากก็เอางานใส่แทปเลทไปทำได้ครับ ไวไฟฟรีก็มีครับ คนที่เขาคอยเครื่องก็จะช่วยเหลือดูแลกันได้ครับ เพราะต้องไปเครื่องเดียวกันรอไปด้วยกัน มิจฉาชีพอาจจะมีแต่ก็ไม่เห็นนะครับ

ไปนอกทั้งทีต้องไปให้คุ้ม

บทชีวิตหน้าใหม่ ถึงวัยได้หลานคนแรก รับลูกสะไภ้คนแรก

ใช้เวลา32ปีที่ลูกสาวคนแรกคลอดลูกชาย ดช.อีไลอัส นรพงศ์ เครกซ์ หลานชายคนแรกของเรา หรือต้องใช้เวลา 32 ปีที่จะได้ตำแหน่งคุณตาคุณยาย ขอบพระคุณพระผู้ทรงสร้างที่ให้เกียรติแก่ครอบครัวของเรา ถ้าเป็นภาคเหนือผมก็ได้เป็นอุ๊ย ป่ออุ๊ย ที่ผมเคยเรียกคุณตาในเวลาที่เป็นเด็กอยู่ เกือบเดือนที่ไปที่นั่น แต่ละวันก็มีเรื่องราวหลายๆอย่างที่จะเอามาเล่ามาสู่กัน มีเวลาว่างเมื่อไหร่ท่านก็เข้ามาอ่านนะครับ ผมว่างเมื่อไหร่ก็จะพยายามรักษาพื้นที่นี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดนะครับ
นอกจากหลานชายเกิดแล้ว ก็ยังมีลูกชายแต่งงาน ไปเยี่ยมลูกชายลูกสาวที่ไม่ได้พบกันเป็น4-5ปี เยี่ยมพี่น้องผู้สนับสนุนงานฯลฯ ถ้าจะเล่าให้ละเอียดก็ยาวครับ พอเคร่าๆก็แล้่วกันนะครับ